ทรัมป์อ้าง แอบสวมหน้ากากอนามัย

สำหรับประเทศที่มีผู้ติดไวรัสสะสมมากที่สุด 10 อันดับแรกก็คือสหรัฐ , รัสเซีย , บราซิล , อังกฤษ , สเปน , อิตาลี , เยอรมนี , ตุรกี , ฝรั่งเศส และอิหร่าน ส่วน 10 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือสหรัฐ , อังกฤษ , อิตาลี , ฝรั่งเศส ,สเปน , บราซิล , เบลเยี่ยม , เยอรมนี , อิหร่าน และแคนาดา เมื่อวานทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 1 แสนคน และเสียชีวิตเกือบ 5 พันคน โดยที่ติดเชื้อมากที่สุด คือสหรัฐ บราซิล มากกว่า ประเทศละ 2 หมื่นคน ตามมาด้วยรัสเซีย อินเดียและเปรู ส่วนที่เสียชีวิตมากเมื่อวานคือสหรัฐ บราซิล อังกฤษ เม็กซิโก และอิตาลี

แม้สหรัฐฯ จะมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากไวรัสจำนวนมาก แต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ยังคงไม่สวมหน้ากากออกมาให้สื่อและประชาชนทั่วไปได้ชื่นชม อย่างเมื่อวาน ผู้นำสหรัฐก็เดินทางมาเยี่ยมโรงงานของรถฟอร์ด นอกเมืองดีทรอยด์ ในรัฐมิชิแกน ที่หันมาผลิตเครื่องช่วยหายใจ งานนี้เขาก็อ้างกับผู้สื่อข่าวว่าเขาได้สวมหน้ากากแล้วระหว่างการเยี่ยมชมโรงงาน แต่เป็นการสวมที่ด้านหลัง เพราะเขาไม่อยากให้นักข่าวเห็น ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษากฏหมายระดับสูงสุดของรัฐได้ออกมาเตือนว่าหากทรัมป์ไม่สวมหน้ากาก อาจจะมีปัญหาในการกลับมาที่รัฐนี้อีกครั้ง

ในการเดินทางไปตรวจโรงงานผลิตหน้ากากอีกแห่งก่อนหน้านี้ ทรัมป์ก็อ้างในแบบเดียวกันว่าสวมหน้ากากแล้วที่ด้านหลังโรงงาน ตอนที่ลับตาจากผู้สื่อข่าว
ด้านรัฐมนตรีสาธารณสุขแม็ตต์ แฮนค็อค ของอังกฤษ เปิดเผยว่า จากการศึกษาเรื่องแอนตี้บอดี้ในชาวอังกฤษ ชี้ว่าชาวกรุงลอนดอนราว 10 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 6 และประชาชนในส่วนอื่น ๆ ของประเทศราว 5 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 20 เคยติดไวรัสโคโรนา
เนื่องจากแอนตี้บอดี้ ต้องใช้เวลา 4 สัปดาห์ในการพัฒนา เรื่องนี้จึงชี้ว่าชาวกรุงลอนดอนติดเชื้อกันมากมายก่อนที่จะมีการประกาศล็อคดาวน์
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาจากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยราว 1 พันตัวอย่าง ขณะที่แผนของรัฐบาลในการทดสอบไวรัสในระดับที่ใหญ่กว่ากำลังดำเนินอยู่ โดยมีการสั่งซื้อชุดตรวจแอนตี้บอดี้มาแล้ว 10 ล้านชุด เพื่อค้นหาว่ามีประชากรมากแค่ไหนที่ติดเชื้อไปแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ชุดตรวจนี้จะทราบผลภายใน 20 นาที ทำให้ไม่จำเป็นต้องส่งตัวอย่างเข้าไปตรวจในห้องปฏิบัติการ
สำหรับผู้ป่วยโรค COVID-19 ตามโรงพยาบาลอังกฤษลดลง 14 เปอร์เซ็นต์ นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และประชาชนมากกว่า 3 ล้านคนได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัส และเกือบ 2 แสน 5 หมื่น 1 พันคนปรากฏว่าติดเชื้อ ส่วนผู้เสียชีวิตอยู่ที่มากกว่า 3 หมื่น 6 พันราย เพิ่มจากเมื่อวันก่อน 338 ราย