จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนกับข้อเสนอให้ยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พรก. ฉุกเฉิน) พบว่า ร้อยละ 35.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก เพราะ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด - 19 ดีขึ้นเยอะเเล้ว อยากให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะได้เดินทางสะดวกและผู้ประกอบการสามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ ร้อยละ 21.76 ระบุว่าค่อนข้างเห็นด้วย เพราะ สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด - 19 คลี่คลายลงแล้วอยากให้มีการผ่อนปรน ในการดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ
ด้านความคิดเห็นของประชาชนกับข้อเสนอให้ยกเลิกประกาศเคอร์ฟิว (4ทุ่ม ถึง ตี4)พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ41.22ระบุว่า เห็นควรให้มีเคอร์ฟิวตามเวลาเดิม เพราะ อยากให้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19หมดไป100%ก่อน และลดการมั่วสุม ชุมนุม ที่จะก่อให้เกิดการเเพร่ระบาดรอบ2รองลงมาร้อยละ33.68ระบุว่า เห็นควรยกเลิกเคอร์ฟิวไปเลย เพราะ ไม่สะดวกในการเดินทางเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่ทำงานตอนกลางคืนขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ และสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด -19ดีขึ้นเเล้ว ร้อยละ23.99ระบุว่า เห็นควรให้มีการปรับเวลาเคอร์ฟิวใหม่ เพราะ อยากให้ปรับเปลี่ยนเวลาให้ดึกมากกว่านี้ ประชาชนบางส่วนยังต้องทำงานอยู่ และจะได้สะดวกในการเดินทางมากขึ้น และร้อยละ1.11ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่สนใจ
เมื่อถามผู้ที่เห็นควรให้มีการปรับช่วงเวลาเคอร์ฟิวใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ40.73ระบุว่า ช่วงเวลาเคอร์ฟิวใหม่ควรเป็นเวลา00.00น. -04.00น. รองลงมา ร้อยละ18.21ระบุว่า ควรเป็นช่วงเวลา23.00น. -04.00น. ร้อยละ12.58ระบุว่า ควรเป็นช่วงเวลา00.00น. -05.00น. ร้อยละ6.29ระบุว่า ควรเป็นช่วงเวลา23.00น. -03.00น. ร้อยละ5.30ระบุว่า ควรเป็นช่วงเวลา23.00น. -05.00น. และร้อยละ16.89ระบุว่า ควรเป็นช่วงเวลาอื่น ๆ
ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการให้ความสำคัญระหว่างเสรีภาพกับสุขภาพ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ83.80ระบุว่า เลือกสุขภาพที่ปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19แม้ว่าจะต้องถูกจำกัดเสรีภาพบ้างก็ตาม เพราะ ถ้าประชาชนสุขภาพดี ทำให้ไม่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19รอบ2ขึ้น และเสรีภาพก็จะได้กลับมาในการดำรงชีวิต
รองลงมา ร้อยละ12.87ระบุว่า เลือกเสรีภาพในการดำเนินชีวิต แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19เพราะ อยากมีอิสระในการเดินทาง ประกอบอาชีพเหมือนเดิม และประชาชนส่วนใหญ่มีการดูแลและรับผิดชอบตัวเองมากขึ้น ร้อยละ2.86ระบุว่า อะไรก็ได้แล้วแต่รัฐบาลจะเห็นสมควร เพราะ ทั้ง2สิ่งมีความสำคัญเท่ากัน ต้องทำควบคู่กันไป และร้อยละ0.47ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่ทราบ/ไม่สนใจ