ทั้งนี้ สถานการณ์ความขัดแย่งด้านพลังงาน รวมทั้งสงครามการค้า อาจส่งผลต่อประเทศไทยในอนาคตอันใกล้ หากประเทศไม่สามารถพึ่งพาต้นเองทางด้านพลังงานได้ ดังนั้น พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานฟรีๆ จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่ต้องมีการวางแผนด้านการแลกเปลี่ยนพลังงาน โดยใช้เทคโนโลยี Blockchain ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคม เช่น ในสหรัฐอเมริกามีการทดลองเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ โดยมีแผงเซลล์แสงอาทิตย์ติดตั้งอยู่บนหลังคาและเชื่อมโยงกันอย่างเป็นเครือข่าย ผ่านแพลตฟอร์มในการแลกเปลี่ยนพลังงาน ที่ทำให้ผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ สามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินที่ผลิตได้จากระบบ ให้กับผู้รับซื้อภายในกลุ่มได้โดยตรงซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนบ้านก็ได้ ซึ่งขณะนี้เทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์มาถึงจุดที่ราคาถูกลงมาก ประเทศเราต้องมองข้ามไปอีกขั้น มองถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบโครงข่ายโทรคมนาคม คือเมื่อบ้านเรามีพลังงานไฟฟ้าเหลือสามารถส่งผ่านสายเพื่อแบ่งไปยังบ้านอื่นได้
"Blockchain เป็นเทคโนโลยีฐานข้อมูล ซึ่งมีความสามารถในการทำธุรกรรมที่ปลอดภัย ช่วยสร้างธุรกิจที่เกี่ยวกับการแบ่งปันพลังได้ อนาคตจะไม่จำเป็นต้องใช้พพลังงานจากบริษัทพลังงานหลักแบบดั้งเดิมอีกต่อไป เพราะจะเกิดเป็นโครงยข่ายพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ที่สามารถผลิตและกักเก็บโดยสมาชิกในกลุ่มเพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว
"การวิจัยและนวัตกรรมมีความสำคัญต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและสามารถลดต้นทุนสำหรับพลังงานที่ยั่งยืนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานปลายทาง ซึ่งรัฐบาลจะต้องยอมรับทางเลือกเหล่านี้ เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายสาธารณะและการตัดสินใจลงทุนจะสะท้อนถึงศักยภาพที่แท้จริงสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจ วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบันได้เน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงถึงกันในระดับโลก ดังนั้นสิ่งเหล่านี้ควรเป็นข้อพิจารณาที่สำคัญสำหรับมาตรการในการฟื้นฟูประเทศ ที่การขับเคลื่อนด้วยกลไกตลาดเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ เราต้องเตรียมการในการใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืนของประเทศ เราต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ไปพึ่งพาพลังงานของต่างประเทศเพียงอย่างเดียว" พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ กล่าว