ประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า เหล่านี้เป็นสิ่งที่กรรมาธิการฯ ให้ความสำคัญและจะติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาส ทั้งที่เรามีศักยภาพในการที่จะพัฒนาระบบหรือโครงข่าย 5G ให้ทัดเทียมและมีคุณภาพเท่ากับหรือดีกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆได้ โดยเฉพาะเวลานี้ที่เกิดวิกฤตโควิด-19 แพทย์และผู้ป่วยไม่สามารถสัมผัสใกล้ชิดกันได้ ดังนั้น การใช้ระบบโครงข่ายและเทคโนโลยี 5G จะทำให้การแพทย์ก้าวหน้า และแพทย์กับคนไข้ไม่ต้องสัมผัสกันโดยตรง สามารถลดขั้นตอนการพบปะกันได้
"เมื่อก่อนนี้ คนไข้หลายคนต้องหาหมอหลายส่วนเพราะมีหลายโรค แต่เทคโนโลยีสามารถหาหมออย่างพร้อมเพรียงกันได้ ขณะเดียวกัน ปัจจุบันทุกคน Work from home คนก็ต้องปรับพฤติกรรมตัวเองทั้งหมด เรียนรู้การใช้เทคโนโลยี ค้าขายออนไลน์มากขึ้น พฤติกรรมเราต้องเปลี่ยนหมดเลยเพื่อรองรับเรื่องตรงนี้ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่กรรมาธิการให้ความสำคัญและเกาะติดอย่างใกล้ชิด และโครงสร้าง 5G จะตอบสนองนวัตกรรมต่างๆด้วย ถ้าเราไม่พัฒนาเทคโนโลยีของเราให้เข้าสู่ Automation หรือ Robotics ก็จะแข่งขันไม่ได้ มีหลายคนบอกว่า โควิดทำให้เศรษฐกิจถดถอย ยอมรับว่าจริง แต่ก็มีธุรกิจ การค้ารูปแบบใหม่เกิดขึ้น การพัฒนาก็ต้องเปลี่ยนไป เราต้องอยู่ให้ได้อย่างยั่งยืน แต่ก็ต้องวางมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ด้วย ซึ่งกรรมาธิการก็ให้ความสำคัญเรื่องนี้" น.ส.กัลยา กล่าว
ด้าน พ.อ.ดร.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ฐานะรองประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวว่า เมื่อเราเตรียมพร้อมในด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการผลิตต่างๆแล้ว รวมถึงมีการพัฒนาโครงสร้าง 5G แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องเตรียมพร้อมคือ เรื่องบุคลากรที่ต้องมีการพัฒนาด้านทักษะให้มีความพร้อมในการทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับการผลิตแบบอัตโนมัติ ซึ่งสิ่งที่ผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐบาลสามาระดำเนินการได้เลย เช่น การอบรมทักษะ ศึกษา เรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ที่สามารถทำได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการผลิตแบบอัตโนมัติ หรือบุคลากรทางการแพทย์ก็ต้องรองรับ Telemedicine รวมถึงให้ความรู้กับ SME ในเชิงของอุตสาหกรรมใหม่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราต้องเตรียมพร้อม เพราะเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ ก็มีภัยคุมคามใหม่เช่นกัน ดังนั้น การเรียนรู้ก็ต้องปรับรูปแบบให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงด้วย