ยอดรวมตอนนี้ใกล้3,000 แล้วแถมใกล้วันประชุมครม. เพื่อพิจารณามาตรการผ่อนปรนการใช้ชีวิตแก่ประชาชนชาวไทย
เราจึงต้องตื่นเต้นรอวัดใจว่า อิทธิพลนักการเมืองตามค่ายตามมุ้งต่างๆที่พยายามหาทางทวงคะแนนเสียงประชานิยมท่ามกลางวิกฤตเช่นนี้จะมีผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาล และ ศบค.มากเพียงใด
เรามีบทเรียนมาแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อนที่อิทธิพลการเมืองส่งผลให้เห็นปรากฏการณ์หน่วยงานรัฐที่ดูแลสุขภาพไปประกาศหนุนร่วมดูแลงานแข่งรถ ทั้งที่ประเทศมีการระบาดของโรคอยู่แต่ทนกระแสกดดันไม่ไหว ต้องมายกเลิกตอนหลังแต่การยกเลิกก็คงไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ที่ติดตาตรึงใจเราๆ ท่านๆ หายไป...
อุปมาอุปมัยได้ว่าเหตุใดช่วงสองสามเดือนแรกของการระบาด จึงได้ยินแต่เรื่องทำนองว่า โรคนี้สบายๆ เราเอาอยู่ๆ
เอาไปเอามาจากไม่ค่อยมีเคส กลายเป็นมีอยู่ทุกวัน และทวีคูณขึ้นจนเกาะใกล้เส้นการระบาด 33%แบบกลุ่มประเทศที่ระบาดหนักอย่างอเมริกา อิตาลี อิหร่าน จีน เยอรมนี เป็นต้น
เรายังโชคดีที่ท่านนายกรัฐมนตรี และรัฐบาลตัดสินใจถูกต้องที่จะดำเนินการตามมาตรการเข้มข้นตั้งแต่กลางมีนาคมหลังรับฟังการนำเสนอผลการวิเคราะห์ของโรงเรียนแพทย์
เราจึงดึงจาก33% มามุ่งสู่ 5%ภายในกลางพฤษภาคมนี้ได้
เจ็บแล้วต้องจำนะครับ...อย่าให้การเมืองมามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเรื่องชีวิตความเป็นความตายของประชาชน
คราวนี้ การเมืองหลายมุ้งพยายามปั่นป่วนอยากให้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามา เพื่อมุ่งหวังเม็ดเงิน
ถามจริงเหอะเอาอะไรมาคิด ทั้งโลกตอนนี้จนกรอบกันหมด เพราะโดนโรคระบาดกันทั่วหน้า ขืนเอาเข้ามาเงินที่ได้จะน้อยนิด แต่จะเจ็บตัวพินาศกันหมด เพราะจะได้โรคเข้ามาในประเทศไม่มีประเทศใดในโลกที่จะปลอดภัยครับ ณ เวลานี้ ดังนั้นรัฐจึงต้องกล้าตัดสินใจ ผ่อนคลายอย่างชาญฉลาดให้ความสำคัญกับสุขภาพมาเป็นอันดับแรก รักษาชีวิตคนของเราไว้ให้ได้มาก ถ้ารอดได้ก็จะมีกำลังไปทำเงินได้ในอนาคต
ตอนนี้เป็นยุคที่ต้องอดทนฝ่าฟันความยากลำบากช่วยกันประหยัดอดออมถึงเวลาที่เราต้องน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาช่วยกันปฏิบัติอย่างจริงจัง
อย่าเปิดศึกทั้งในบ้านและนอกบ้านพร้อมกันเด็ดขาด
ผ่อนปรนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตเพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพภายใต้กฎระเบียบมาตรฐานที่เข้มงวดด้านการป้องกันทั้งต่อคนให้บริการและประชาชนผู้มาใช้บริการ ผ่อนปรนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตเพื่อผ่อนคลายตามสมควร แต่ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ดี๊ด๊าแต่ต้องพร้อมเพรียงกันในการปฏิบัติตนแบบ New Normal = New Me...
สถานการณ์ที่ไทยควรเลือกที่จะทำคือ "คงการปิดการเดินทางจากต่างประเทศ...และรณรงค์ให้เกิดสังคมNew Me"
ควรเริ่มพร้อมๆกันไปในกลางเดือนพฤษภาคมครับ เพราะตัวเลขคนติดเชื้อที่คงอยู่ในระบบจะลดลงเหลือน้อยพอดีกับการเตรียมระบบและแบบแผนปฏิบัติสำหรับแต่ละคนแต่ละกิจการอย่างละเอียด
ก้าวย่างอย่างมั่นคงรอบคอบแล้วเราจะรอดไปด้วยกันครับ
โดยก่อนนี้ คุณหมอเองก็ได้โพสต์แจ้งเตือน เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2563 ด้วยเนื้อหาหลักที่ระบุว่า "บอกตรงๆว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่เราจะเห็นคลื่นระลอกที่ 2 ตามมาหลังจากการปลดล็อคในลักษณะคล้ายสิงคโปร์และญี่ปุ่นผสมกัน
ถามว่าเหตุใดจึงมีความเห็นเช่นนั้น
สิงคโปร์ระบาดหนักระลอกสองเน้นเกิดในกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ
ญี่ปุ่นระบาดหนักระลอกสองเน้นเกิดในกลุ่มที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อทั้งจากการทำงานและชีวิตส่วนตัว
หากมองอนาคตอันใกล้จากข่าวสารที่ฟังจากสื่อสังคมเกี่ยวกับแนวทางการปลดล็อคที่หลายฝ่ายกำลังชงและผลักดันไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตด้านการกิน การช็อป เสริมสวยตัดผม ท่องเที่ยวตลอดจนการเปิดกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม
แนวทางดังกล่าวต้องรอบคอบอย่างยิ่งหากตัดสินใจเปิดเร็วโดยไม่พร้อมเราจะเจอทั้งการระบาดในกลุ่มคนงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานทั้งในโรงงาน ก่อสร้างและงานบริการหลากหลาย
ยิ่งหากดูตัวเลขที่รัฐประกาศวันนี้ว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นเป็น 53 คนไม่ว่าจะอ้างว่าเป็น active case finding ซึ่งแปลว่ามุ่งเป้าไปเสาะหาหรือตรวจหาก็ตามแต่สุดท้ายคนกลุ่มใหญ่ที่เจอวันนี้คือ กลุ่มคนต่างด้าวนั่นเอง
ในขณะเดียวกันการติดเชื้อจากการใช้ชีวิตทั้งที่ทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวนั้น แน่นอนว่ายิ่งอยู่ในเมือง ยิ่งแออัดยิ่งเสี่ยงสูง
เชื่อขนมกินได้เลยว่าไม่ว่าจะพลิกมองมุมใด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอนหลังปลดล็อคราว 7-10วัน
สิ่งที่เราพอจะทำกันได้คือ
หนึ่งรัฐควรหน่วงเวลาการปลดล็อค ให้มีจำนวนเคสน้อยๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้คำแนะนำของผมยังคงเดิมคือ ดีเดย์ปลดเมื่อแตะ 5% ราวกลางเดือนพฤษภาคม เพราะ ณ ตอนนั้นเคสหลงเหลือที่ต้องการการดูแลรักษาในโรงพยาบาลจะเหลือน้อยลงมากทำให้ระบบสาธารณสุขมีเวลาพัก และเตรียมรับระลอกสอง รวมถึงมีช่วงเวลาในการเคลียร์ชดเชยระบบดูแลรักษาคนไข้โรคอื่นๆ ให้ลงตัว
สองคนที่อาศัยอยู่ในเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร และเทศบาลเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ จง"Keep lowprofile" หากทำได้
กล่าวคือยังยืดหยัดที่จะอยู่นิ่งกับที่ ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ทำงานที่บ้านให้มากๆไปที่ทำงานน้อยๆ เน้นการทำงานติดต่อทางออนไลน์์
หากต้องออกจากบ้านต้องใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างจากคนอื่นๆ และรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว
สรุปคือทำตัวให้เป็นไปตาม NewNormal = New "Me" จนเป็นนิสัยฝึกตัวเราและสอนลูกหลานให้ทำ เพราะจะอยู่รอดได้อีกเป็นปีต้องมีพฤติกรรมอย่างนี้
ข้อสองนี้มีไว้เพื่อรักษาตัวเองและครอบครัวของคนที่ยังนิ่งได้ให้อยู่รอดปลอดภัยเพื่อคอยช่วยเหลือคนในสังคมที่ไม่มีทางเลือกแล้วเกิดได้รับเชื้อมาหลังปลดล็อคในอนาคตซึ่งจะมากแค่ไหน จะน้อยกว่า เท่ากับ หรือมากกว่าสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นนั้นไม่มีใครตอบได้
จากข้อมูลที่เราเห็นตอบได้ว่ามีโอกาสสูงแน่ๆแต่ความเห็นส่วนตัวน่าจะเป็นแนวโน้มน้อยกว่าหรือเท่ากับสองประเทศนั้นเพราะความหนาแน่นประชากรของเราน้อยกว่าเค้าอยู่บ้าง
#NewNormal_NewMe
#StayHome
#ใส่หน้ากากล้างมือบ่อยๆอยู่ห่างจากคนอื่น
ประเทศไทยต้องทำได้...
เอาใจช่วยทุกคนครับ...
เปิดเมื่อพร้อม...อย่าเปิดตามแรงกดดัน #อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ #StayHome #อยู๋บ้านกันนะครับ #ทำงานแบบ work fromhome