อธิบดี ทช.ไม่สนคนดังทำผิด "ดีเจภูมิ" ทำผิดต้องรับโทษ

อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง นายโสภณ ทองดี บอกว่า จากกรณีที่ ภูมิใจ ตั้งสง่า อายุ 41 ปี หรือดีเจภูมิ ได้สร้างช่องยูทูปของตนเองเกี่ยวกับ การตกปลา และออกเดินทางไปตกปลาทั่วโลก มีแฟนคลับติดตามอย่างแน่นหนา และกลายเป็นประเด็นร้อนเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมาหลังจากที่ดีเจภูมิได้โพสต์ภาพปลาที่ตกได้ในเขตพื้นที่อุทยานฯ ทำให้เกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก จนกระทั่งชุดพญาเสือ ร่วมกับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่าคลิปที่ดีเจภูมิเข้าไปตกปลาใกล้เกาะภายในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร โดยไม่ได้รับอนุญาตและยืนยันว่าได้จัดทำทุ่นแสดงแนวเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพรไว้รอบเกาะอย่างชัดเจนแล้ว

จึงเป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะอ้างว่าไม่ทราบแนวเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร กระทั่งเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ดีเจภูมิได้เดินทางไปที่ จ.ชุมพร อีกครั้ง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว พร้อมเปิดเผยว่าถูกตัดสินในโทษสูงสุดของคดีนี้คือ จำคุกคนละ 4 ปี ปรับ คนละ 4 หมื่นบาท แต่ตนและเพื่อนยอมรับผิดทั้งหมดจึงได้ลดโทษกึ่งหนึ่ง เป็น จำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท

โดยศาลพิพากษาให้ดีเจภูมิพร้อมเพื่ออีก 6 คน รอลงอาญา 2 ปี ซึ่งในระหว่าง 2 ปีที่รอลงอาญานั้น ในปีแรกต้องมารายงานตัวทุกๆ 2 เดือน พร้อมกับบำเพ็ญประโยชน์ 36 ชั่วโมง และเสียค่าปรับไปทั้งหมด 120,000 บาท พร้อมถ่ายทำคลิปเพื่อโปรโมทเชิงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยอีกด้วย

อธิบดี ทช. บอกอีกว่า อยากให้ประชาชนดูกรณีของดีเจภูมิเป็นตัวอย่าง ถึงแม้จะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากแค่ไหน แต่หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ใช้คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น ทุกคนจะต้องได้รับโทษที่กระทำไว้ 

อย่างไรก็ตาม การที่ดีเจภูมิสำนึกผิดกับสิ่งที่กระทำลงไปก็ถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ภายหลังจากที่ไปติดตามดูคลิปที่ดีเจโพสต์เอาไว้ ได้มีหลายเทปที่ดีเจภูมิมีส่วนในการทำกิจกรรมเพื่อสนับสนุนในด้านการดูแลทรัพยากรทางทะเล 
ซึ่งต่อไปนี้หากดีเจภูมิเอาความที่มีชื่อเสียงของตนมาช่วยสนับสนุนการดูแลทรัพยากรทางทะเลก็จะดีไม่น้อย ในโอกาสนี้ ตนขอเรียนให้ทุกคนได้ทราบว่า การดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเป็นสิ่งที่ ทช. ดำเนินการอย่างเข้มข้นมาโดยตลอด ส่วนพื้นที่นอกเขตความรับผิดชอบของกรมอุทยานฯ ก็จะอยู่ในความดูแลของ ทช. แม้ว่ากฎหมายจะไม่เข้มข้นเท่าแต่เจ้าหน้าที่ของ ทช. ทุกคนก็พร้อมจะดูแลทรัพยากรทางทะเลอย่างเต็มกำลัง 
และสิ่งที่เป็นเรื่องดีมากๆ ในช่วงนี้ก็คือ การได้รับความร่วมมือจากภาคประชาชนในแต่ละพื้นที่ ในการช่วยกันสอดส่อง เป็นหูเป็นตาเพื่อดูแลทรัพยากรชายฝั่งทะเล ตลอดจนคอยแจ้งเบาะแสในยามที่มีผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาบุกรุกหรือทำลายทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล 
สุดท้ายนี้ ความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และประชาชน ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความเข้มแข็งให้กับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้มีความอุดมสมบูรณ์และยั่งยืน สามารถอยู่คู่กับท้องทะเลไทยไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาและเรียนรู้สืบไป