เป็นพระเอกที่ได้ชื่อว่าจิตใจดีงามทั้งในจอและนอกจอล่าสุดบิณฑ์ บรรลึอฤทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับ "เนชั่นทีวี" ว่ารู้สึกใจหายและเสียใจต่อการเสียชีวิตของนักเขียนชั้นครูและเป็นศิลปินแห่งชาติ ฉัตรชัยวิเศษสุวรรณภูมิ เจ้าของนามปากกา"พนมเทียน" ผู้ประพันธ์นวนิยายชื่อดังเรื่อง "เพชรพระอุมา" ที่จากไปอย่างสงบเมื่อวานนี้ ด้วยวัย 89 ปี โดยบิณฑ์รับอาสาดูแลเรื่องการจัดพิธีศพอย่างเต็มที่ พร้อมกับยืนยันความตั้งใจที่ท้าทายของชีวิต คือจะสร้างหนังเรื่องเพชรพระอุมา ให้สำเร็จ ด้วยทุนสร้าง 100 ล้านบาท
บิณฑ์เล่าว่า มีความรักความผูกพันกับคุณฉัตรชัย มายาวนานกว่า 40 ปี และนับถือเสมือนเป็นพ่อจริงๆโดยบิณฑ์จะเรียกว่า "พ่อพนมเทียน" ทุกครั้ง
สำหรับจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์เริ่มจากที่เขาเข้าทำงานในวงการบันเทิง และได้ไปมาหาสู่บ้าน คมน์ อรรฆเดช ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดังอยู่บ่อยๆ ซึ่งบ้านของคมน์ก็อยู่ใกล้ๆบ้านของพนมเทียน และด้วยเหตุบังเอิญที่ได้มาพบกับ"เพ็กกี้" สุมิตรา วิเศษสุวรรณภูมิ ภรรยาของพนมเทียน ที่ร้านเสริมสวย และได้นำพาให้มากราบคารวะพนมเทียนที่บ้าน
ด้วยความชื่นชมในบทประพันธ์อย่างเรื่องเพระพระอุมา และเล็บครุฑ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงคุยกันถูกคอ ซึ่งตั้งแต่นั้นมา บิณฑ์ ก็เข้ามาเยี่ยมและพูดคุยกับ "พนมเทียน" ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะวันครอบรอบวันคล้ายวันเกิดของพนมเทียน วันที่ 23 พฤศจิกายน จะต้องเห็นบิณฑ์ มาร่วมอวยพรทุกปีเช่นเดียวกัน
สำหรับสิ่งที่ประทับใจที่สุด พระเอกชื่อดังบอกว่า เป็นเรื่องของการสั่งสอนมากกว่า โดยพ่อพนมเทียนจะสอนเกี่ยวกับเรื่องปืนและให้ความรู้เกี่ยวกับการเขียนบทภาพยนตร์ และบทละคร สิ่งหนึ่งที่จำได้ดี คือการแนะช่วงการเขียนที่ดีที่สุด คือเป็นเวลากลางคืน เพราะหัวสมองจะไบร์ทและไหลลื่นมาก เป็นช่วงที่เงียบไม่อึกทึกหรือมีสิ่งรบกวนเหมือนกลางวัน
ยังมีสิ่งที่ทำให้บิณฑ์ปลื้มใจมาก ก็คือคำชื่นชมจากพ่อพนมเทียน ที่เห็นเขาช่วยเหลือสังคมมาตลอด และยังบอกว่าให้บิณฑ์ทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดไป
บิณฑ์ เล่าต่อว่า ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขายังก็ได้ไปเยี่ยมพ่อพนมเทียนที่บ้าน และเมื่อ 2-3 วันนี้ ยังได้ไปเยี่ยมอาการป่วยที่โรงพยาบาล ซึ่งได้พูดคุยกันหลายเรื่อง โดยเฉพาะการนำเรื่อง "เพชรพระอุมา"ไปสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วยตัวเขาเอง
ซึ่งพนมเทียนถามบิณฑ์ว่า"จะทำแน่มั้ย เพชรพระอุมาน่ะ"
เจ้าตัวตอบกลับไปว่า"ผมทำแน่ถ้าได้ทุนเยอะๆ เป็นร้อยล้าน ผมทำจริงๆนะพ่อ "
บิณฑ์ ยังแซวต่อด้วยอารมณ์ขันอีกว่า "ถ้าค่าลิขสิทธิ์ไม่แพง ผมทำแน่ครับ"
ด้าน พนมเทียนได้สอนต่อว่า "ถ้าทำได้จริง ก็ทำให้ดีๆนะ"
ประโยคนี้ เสมือนเป็นความห่วงใยที่นักเขียนชื่อดังได้ทิ้งท้ายถึงผลงานที่เขารัก กับคนที่จะฝากไปให้ดูแลต่อ
สิ่งที่ทำให้ บิณฑ์อยากทำหนังเรื่องนี้ เจ้าตัวบอกว่า มันเป็นความท้าทายมากและเขาก็เติบโตมากับเรื่องนี้ เคยดูหนังเวอร์ชั่นที่เจ้าของหนังที่ใช้ชื่อว่า "รพินทร์ ไพรวัลย์" ซึ่งเป็นทั้งผู้สร้างเองและแสดงเองมาแล้ว ที่สำคัญ ช่วงหนึ่งในชีวิต บิณฑ์ ก็เคยรับบท เป็น รพินทร์ ไพรวัลย์ พระเอกของเรื่องนี้ด้วยแต่น่าเสียดายที่เล่นได้แค่ 3 วัน ก็ไม่ได้ถ่ายทำต่อ เพราะมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์กัน
"ผมเคยเล่นเพชรพระอุมาอยู่3 วัน ตอนนั้นจะลงช่อง 7 แต่มีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ เลยไม่ได้ทำต่อ แต่ผมอยากทำอยู่นะเพราะตั้ง 40 กว่าปีมาแล้ว ยังไม่มีใครทำเลย ถ้าทำ ผมจะวางเงินเป็นหนังระดับ 100ล้านเลย คงต้องรอคุยเรื่องลิขสิทธิ์กับภรรยาพ่อพนมเทียนต่อ แต่ตอนนี้ผมขอดูแลงานศพพ่อให้ดีที่สุดก่อนนะครับ" พระเอกดัง กล่าวทิ้งท้าย