ค่าไปเดือนนี้ ถึงสูงกว่าเดือนก่อนๆที่ผ่านมาทั้งๆที่ จะลดให้ ทำให้ล่าสุด การไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน.ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ ช่วงเช้าวันนี้ (20 เม.ย.) โดยระบุ มาตรการลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ 3ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2563)เริ่มรอบจดหน่วยวันที่ 14 เม.ย. 63 เป็นต้นไป หากรอบจดหน่วยของท่านจดก่อนวันที่ 14จะลดค่าไฟฟ้าในรอบบิลถัดไป
ทำไมค่าไฟฟ้าถึงแพงขึ้น? มาดูคำตอบแบบเปิดใจกันหน่อย
1. การไฟฟ้าคิดเงินแบบอัตราก้าวหน้ามาตลอด ใช้เยอะจ่ายเยอะ (ผู้ใช้ไฟสามารถดูรายละเอียดตามอัตราค่าไฟฟ้าด้านล่าง)
2.ตัวแปรของค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น คือ หน่วยการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น พูดง่าย ๆ ก็ คือคุณใช้ไฟฟ้ามากขึ้นเลยทำให้ราคามันก้าวกระโดด
3. หลายคนคงสงสัยทำไมหน่วยการใช้ไฟฟ้าถึงขึ้นได้มากขนาดนี้ ?
ไฟฟ้ามาทำอะไรกับมิเตอร์รึเปล่า?
คำตอบ คือไฟฟ้าไม่มีใครไปทำอะไรกับมิเตอร์ลูกค้าหรอก
ทีนี้เราต้องมาดูพฤติกรรมของลูกค้าและคนในบ้าน
ที่บอกว่าใช้ไฟเท่าเดิม
ลองคิดนะ
เปิดแอร์เวลาเดิมทุกวัน 8.00 - 12.00 คุณเย็นเท่าเดิมจริงแต่ตัวที่ทำให้มิเตอร์ขึ้นหน่วยไวแค่ไหน อยู่ที่คอมเพลสเซอร์ข้างนอกถ้าอากาศข้างนอกร้อนแค่ไหนหน่วยการใช้ไฟก็ขึ้นไวเท่านั้นเพราะคอมเพลสเซอร์คุณทำงานหนักยิ่งถ้าเปิดแอร์พร้อมกันนะ เสียงคอมดังนานแค่ไหนนั่นแหละคือ ทำใจไว้เลยมิเตอร์กำลังหมุนอย่างแรง และ นั่นคือ เงินที่คุณต้องจ่ายไป
เครื่องฟอกอากาศอีกแทบทุกยี่ห่อกินไฟ ลองตรวจสอบดูนะที่บอกประหยัดไฟคือไม่ประหยัดเลยยิ่งเปิดพร้อมแอร์ คูณกำลัง 2 ไปเลย
ตู้เย็น เห็นตั้งนิ่งๆ แบบนั้น กินไฟเราแบบเงียบ ๆ นะค่ะหน้าที่ของตู้เย็นคือต้องทำความเย็นในช่องแช่อาหาร ตามอุณภูมิที่เรากำหนด เช่นเราตั้งไว้ที่ 1 องศา หลักการทำงานคือ ต้องทำยังไงก็ได้ให้ 1 องศาตลอดเวลา นั่นก็คอมเพลสเซอร์หลังตู้เย็นไงที่เป็นตัวทำงาน
- เปิดตู้เย็นบ่อย ๆเปลืองไฟจริง เพราะตู้เย็นสูญเสียอุณภูมิตอนเปิด
- แช่ของแบบไม่คิด ยัดๆ เข้าไปก็เปลืองไฟจริง ต้องจัดระเบียบตู้เย็นกันบ้าง
บ้านที่มีปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้าส่วนมากจะมีเครื่องใช้ไฟฟ้าดังนี้
1. แอร์ พร้อมคอมเพลสเซอร์
2. เครื่องฟอกอากาศ
3. พัดลมไอน้ำ
4. ตู้เย็นยิ่งอัดของเยอะ คอมเพลสเซอร์ตู้เย็นที่ดังตลอดเวลานั่นแหละคือ กำลังกินไฟคุณ
ตู้เย็นที่ประหยัดไฟคือตู้เย็นที่แช่แค่เครื่องดื่มไม่เกิน5 ขวดเท่านั้น ถึงจะได้จ่ายราคาต่อปีตามที่ร้านโฆษณา
สรุปคือไฟฟ้าไม่ได้ปรับ หรือ ทำอะไรทั้งนั้น
ไม่ได้ฉวยโอกาสอะไรทั้งนั้น
ไฟฟ้าการรันตีราคาให้แบบนี้
- ใช้ไปหน่วยที่ 0-150 หน่วย จ่ายราคาหน่วยละ 3.2484 บาท
- ใช้ไปหน่วยที่ 151 -400 หน่วย จ่ายราคาหน่วยละ 4.2218 บาท
- ใช้ไปหน่วยที่ 400ขึ้นไป จ่ายราคาหน่วยนะ 4.4217 บาท
ยกตัวอย่างการคิดแบบคร่าวๆ
ตัวอย่างที่ 1
ใช้ไฟฟ้าไป 200 หน่วยเราจะคิดค่าไฟแบบนี้
150 หน่วยแรก 3.2484 = 487.26 บาท
50 หน่วยที่เหลือ 4.2218 = 211.09 บาท
รวมเป็นเงิน = 698.35บาท
(ราคายังไม่รวม vat 7 % ,ค่าบริการ , หักส่วนลดค่า FT)
ตัวอย่างที่ 2
ใช้ไฟฟ้าไป 400 หน่วยเราจะคิดค่าไฟแบบนี้
150 หน่วยแรก 3.2484 = 487.26 บาท
250 หน่วยที่เหลือ 4.2218 = 1,055.45 บาท
รวมเป็นเงิน =1,542.41 บาท
(ราคายังไม่รวม vat 7 % ,ค่าบริการ , หักส่วนลดค่า FT)
ตัวอย่างที่ 3
ใช้ไฟฟ้าไป 600 หน่วยเราจะคิดค่าไฟแบบนี้
150 หน่วยแรก 3.2484 = 487.26 บาท
250 หน่วยถัดมา 4.2218 = 1,055.45 บาท
200 หน่วยที่เหลือ 4.4217 = 884.34 บาท
รวมเป็นเงิน =2,427.05 บาท
(ราคายังไม่รวม vat 7 % ,ค่าบริการ , หักส่วนลดค่า FT)
ตัวอย่างที่ 4
ใช้ไฟฟ้าไป 1,000หน่วย เราจะคิดค่าไฟแบบนี้
150 หน่วยแรก 3.2484 = 487.26 บาท
250 หน่วยถัดมา 4.2218 = 1,055.45 บาท
600 หน่วยที่เหลือ 4.4217 = 2,653.02 บาท
รวมเป็นเงิน =4,195.73 บาท
(ราคายังไม่รวม vat 7 % ,ค่าบริการ , หักส่วนลดค่า FT)
พอจะเห็นภาพชัดเจนกันขึ้นไหมครับว่าทำไมค่าไฟถึงได้สูงขึ้น
ปล.ขอบคุณครับที่ช่วยอ่านมาจนถึงตอนนี้ และค่าไฟเท่าไหร่กันบ้าง
โยชน์กว่ามั้ยคะ