โดยแนวทางในที่ประชุม เบื้องต้นยังคงเน้นย้ำเข้มในมาตรการหลักปฏิบัติ ไว้เช่น มาตรการการคัดกรองคนเข้าประเทศ ยังคงมีไว้อย่างเข้มงวด ซึ่งหากมีคนกลับยมาจะต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วัน ส่วนในพิ้นที่ต่างจังหวัด จะต้องมีการค้นหากลุ่มคนที่มีความเสี่ยง เช่น ภายในชุมชน, แรงงาน, ต่างชาติและประชาชนทุกคนยังต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่ตลอดเวลาและเว้นระยะห่าง งดการชุมนุมในจำนวนที่มีคนหมู่มาก แม้ว่าขณะนี้ไทยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี
ส่วน เงื่อนไข ที่จะพิจารณาสถานที่ความเสี่ยงสูง คือ 1.ดูจากความหนาแน่นของผู้คนที่ใช้บริการกิจการนั้นๆ ซึ่งภาคธุรกิจจะกำหนดเงื่อนไข 2.กิจกรรมที่ผู้คนไปใช้สถานที่เหล่านั้น ต้องไม่ร้องเชียร์ หรือไม่พูดจามากเกินไป เนื่องจากการแพร่เชื้อของโควิด-19มาจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น ละอองฝอยน้ำลาย 3. เรื่องการถ่ายเทอากาศ เช่นห้องเล็กๆอากาศไม่ถ่ายเท ต้องมีการปรับเปลี่ยน และต้องมีระยะห่างในสถานที่นั้นได้/ ขณะที่สถานบันเทิง ถูกจัดเป็นสถานที่เสี่ยงสูง อาจจะยังไม่สามารถเปิดได้ในช่วงนี้/ ส่วนร้านตัดผม ร้านอาหาร หากมีการบริหารจัดการร้านให้มีระยะห่างได้อาจจะพิจารณาเปิดได้ก่อน
ส่วนสวนสาธารณะ เป็นพื้นที่ความเสี่ยงต่ำ มีอากาศถ่ายเทอาจเปิดได้ก่อน ให้ประชาชนมาออกกำลังกาย แต่ต้องงดกิจกรรมจับกลุ่มกันในสวนสาธารณะ
ด้าน ห้างสรรพสินค้า เป็นพื้นที่เสี่ยงกลางแต่ต้องงดกิจกรรม ประเถทเรียกลูกค้า นาทีทอง หรือกิจกรรมรวมกลุ่มโดยภายในห้างอาจะต้องมีการบริหารจัดการให้แต่ละพื้นที่ไม่มีความแออัดของประชาชน
ส่วนโรงเรียน หากเป็นห้องแอร์อาจมีความเสี่ยงมากในการติดเชื้อ มากกว่าห้องเรียนที่เปิดโล่งและควรงดกิจกรรมเข้าค่าย กิจกรรม รวมกลุ่มของนักเรียออกไปก่อน
เบื้องต้น ปลายเดือนนี้ จะมีการทดลองใน 3-4 จังหวัด /ก่อนที่กลางเดือนพฤษภาคมจะขยายไปใน 32 จังหวัดซึ่งเป็นจังหวัดที่ไม่พบการติดเชื้อเพิ่มในช่วง 2 สัปดาห์ / ขณะที่ 7 จังหวัดที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีการแพร่ระบาดขนาดใหญ่ก็จะเริ่มคลายล็อกได้ในต้นเดือนมิถุนายน
สำหรับการหารือในวันนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุข จะเสนอข้อสรุปให้ ศบค.เพื่อให้มีการพิจารณาเป็นภาพรวมใหญ่ ก่อนจะมีการประกาศผ่อนปรนต่อไปในแต่ละจังหวัด.