นายประสงค์ สีสุขใส ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผย "เนชั่นทีวี" ว่า หลังจากวันที่ 16 เมษายน 2563 สหภาพฯ ทราบเรื่อง บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM มีหนังสือถึงการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เพื่อให้พิจารณาแนวทางการชดเชยผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามข้อสัญญาข้อ 18.1 และ 18.2 นั้น สหภาพฯ เห็นว่า รัฐบาลมีควาทจำเป็นที่จะต้องควบคุมการระบาดของโรค และการที่รัฐบาลประกาศมาตรการควบคุมโรคระบาดติดต่ออันตรายร้ายแรงโรคไวรัสโควิด- 19 ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพื่อไม่ให้ระบาดไปสู่ประชาชนในวงกว้างจะทำให้การควบคุมโรคเป็นไปได้ยาก โดยมาตรการดังกล่าวเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่เป็น "เหตุสุดวิสัย" ตามสัญญา ข้อ 18.1 และ 18.2 โดยเป็นเหตุให้การทางพิเศษต้องชดเชยให้บริษัท BEM
ประธานสหภาพ กทพ.บอกว่า "เหตุสุดวิสัย" และจะต้องมีการชดเชย เมื่อเหตุดังกล่าวนั้นมีผลกระทบต่อการเงิน หรือรายได้บริษัทฯ เช่น การชดเชยเป็นตัวเงิน การต่ออายุสัมปทาน และการเพิ่มอัตราค่าผ่านทาง ดังเช่น กรณีน้ำท่วมใหญ่ ปี 2554 ครม.ประกาศยกเว้นค่าผ่านทาง การทางพิเศษ จึงต้องชดเชยค่าผ่านทางให้ BEM แต่ครั้งนี้ไม่มีประกาศยกเว้นค่าผ่านทาง ยังเปิดให้บริการตามปกติ โดยเปรียบเทียบปริมาณรถในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 1.1 -1.2 ล้านคัน ปัจจุบันอยู่ที่ 9 แสนคัน จึงถือว่าลดลงไม่มากอย่างมีนัยสำคัญ
นายประสงค์ ระบุว่า ผู้บริหาร การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงถึงกรณีดังกล่าวว่าจะมีการเยียวยาให้ BEM หรือไม่
เนชั่นทีวี ได้รับหรังสือของ นายดำเกิง ปานขำ รองผู้ว่าการฝ่ายปฏิบัติการ กทพ. มีหนังสือตอบกลับ BEM เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ว่า ไม่เห็นพ้องกับ BEM เนื้องจากประกาศของรัฐบาล ออกเพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้มุ่งหมายให้กระทบกับการดำเนินงานของบริษัท ดังนั้นทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน ต้องให้ความร่วมมือปฏิบัติตามข้อกำหมด มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้น