พ.อ.เสกสรรค์พรหมศักดิ์ ผบ.ฉก.อรัญประเทศ กองกำลงบูรพา มอบนโยบายให้ พ.อ.เอกพงษ์กฤตยาเกียรติชุติ ผบ.ชค.ทพ.12จัดกำลังเจ้าหน้าที่ทหารพรานในพื้นที่รับผิดชอบของชุดควบคุมกรมทหารพรานที่ 12 ดูแลพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างเข้มงวด
จึงสั่งการให้ ร.อ.ศานิตย์พลบู่ศรี ผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1203 บ้านอ่างศิลากรมทหารพรานที่ 12 บูรณาการร่วมกับ พ.ต.ชาญ ว่องไวเมธีผู้บังคับกองร้อยทหารพรานที่ 1201 ด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกจัดเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวนรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ตั้งแต่ด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึกอ.อรัญประเทศ ไปจนถึงพื้นที่รอยต่อ อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ตามพ.ร.ก.บริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548เพื่อป้องกันและสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกประเทศไทยโดยผิดกฎหมายและการลักลอบนำสินค้าผิดกฎหมายเข้า-ออกบริเวณตะเข็บแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เนื่องจากกองกำลังบูรพามีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดโดยการตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ตลอด 24 ชม.นั้น
ทั้งนี้ ชาวกัมพูชาทั้งหมดให้การว่า เดินทางไปทำงานในพื้นที่ตอนในที่ ต.บ้านแพ้ว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ได้เหมารถแท็กซี่มาลงที่ตลาดบางวัวในราคา 5,000 บาท และได้มาว่าจ้าง นายนิรันดร์ ในราคา 3,500 บาท ให้มาส่งที่ บ.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เพื่อที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา ในประเทศกัมพูชา เนื่องจากไม่มีงานทำเพราะสถานการณ์ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ทางเจ้าหน้าที่ทหารพราน ร้อย.ทพ.1203 จึงได้ส่งตัวให้กับพนักงานสอบสวน สภ.โคกสูง เพื่อดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งจังหวัด กรณีห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสระแก้ว และผิด พ.ร.ก.บริหารราชการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพื่อดำเนินคดีทางกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหารพรานได้ร่วมกันบูรณาการตรวจสอบแนวชายแดนตลอดเส้นทางเพื่อตรวจเข้มโรคไวรัสโควิด-19 และขบวนการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในช่วงประกาศเคอร์ฟิว รวมทั้งการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจังหวัดสระแก้ว ที่ 944/2563 ลงวันที่ 5 เม.ย.63 เรื่องห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ข้อ 2 ห้ามรถตู้โดยสารส่วนบุคคล หรือรถยนต์ส่วนบุคคลที่บรรทุกผู้โดยสารต่างด้าวทุกกรณี เดินทางเข้ามาในเขตพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ทั้งนี้ คำสั่งฉบับนี้ออกโดยผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ซึ่งอาศัยอำนาจตาม มาตรา 35 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 โดยผู้ที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตาม มาตรา 52 แห่งพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ด้วย