"สิ่งที่เคยได้เห็น จะไม่ได้เห็น.. สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้เห็น" นี่อาจเป็นคำตอบที่สั้นและกระชับที่สุด ว่าโลกหลังโควิดจะเป็นอย่างไร
เหมือนเป็นการเขย่าโลกครั้งใหญ่สำหรับโรคระบาดโควิด-19 หลายคนบอกว่าหลังผ่านพ้นสถานการณ์อันเลวร้ายไม่ต่างจากสงครามโลกไปแล้ว ก็จะมีการเปลี่ยนผ่านแบ่งยุคสมัย เป็น" โลกยุคก่อนโควิด" และ "โลกยุคหลังโควิด"
เช่นเดียวกับในสมัยก่อนที่มีโลกยุคก่อนสงครามโลก และโลกยุคหลังหลังสงครามโลก
สถานการณ์ที่ไม่ปกติ ย่อมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมวิถีชีวิตของผู้คนไประยะหนึ่ง แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ทุกอย่างก็จะไม่หวนคืนกลับมา นั่นคือเหตุผลที่ทำให้หลายคนบอกว่าหลังจากผ่านวิกฤตนี้ไป โลกจะเปลี่ยนยุค กระทบใน 3 ด้านหลัก เศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
#วชิรวิทย์รายวัน เห็นว่า ด้านเศรษฐกิจ การทำธุริการ การประกอบกิจการต่างๆ หลังโควิดจบ จะเปลี่ยนไปอย่างมาก ซ้ำเติมโลกที่ถูกดิสรัปชั่นด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้เปลี่ยนโฉมหน้าไปเร็วขึ้น
เมื่อขอความร่วมมือให้ประชาชนอยู่บ้านเพื่อควบคุมโรค แต่งานต้องเดินต่อ การทำงานที่บ้านด้วยระบบออนไลน์เป็นทางเลือกเดียว แม้อาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ในระยะเวลาหนึ่งเทคโนโลยีจะแก้ข้อจำกัดนั้นได้ และเมื่อระบบออนไลน์ทำได้มีประสิทธิภาพ ทั้งยังช่วยลดต้นทุน อนาคตเราจะเลือกใช้วิธีนี้ไปตลอด จนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติ
การลงทะเบียนเพื่อขอค่าชดเชยออนไลน์ ก็ทำให้เห็นว่าระบบราชการต่างๆ ที่เคยมีข้อจำกัดว่าจะต้องไปที่ทำการ, หน่วยงานเท่านั้น กำแพงของขั้นตอนที่มากมายเพื่อติดต่อราชการ ก็ได้ถูกทำลายลง แทนที่ด้วยระบบออนไลน์ที่สามารถยืนยันตัวตนได้ สะดวกและรวดเร็ว
แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ระบบเศรษฐกิจทั้งระบบ ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจะส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ ทั้งการเมืองและสังคม
เป็นที่แน่นอนแล้วว่า "วิกฤตที่ซ้อนวิกฤต และอยู่บนวิกฤตอีกทีหนึ่ง" มีความเลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ด้วยซ้ำไป จนทำให้ประเทศไทยอาจจะต้องกู้เงินจาก IMF ครั้งที่ 2 พอจะสะท้อนให้เห็นว่า อีกล้านๆคนก็กำลังอยู่ในภาวะลำบาก และทุกคนกำลังหาทางรอดเช่นเดียวกัน
มีคนที่ตกงานกระทันหัน หรือกำลังจะตกงานจากภาวะเศรษฐกิจก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ก็ตกงานเร็วขึ้น อาชีพที่เคยทำอยู่ หลังพ้นวิกฤต เมฆหมอกจางหายไป ก็อาจไม่สามารถกลับไปทำงานเดิมนั้นได้อีกแล้ว และงานใหม่ก็อาจจะไม่ใช่งานที่เคยทำมาก่อน
ในแง่ของการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องของความมั่นคงและความมั่นคงต่อให้จะมีสถานการณ์เลวร้ายเพียงใดก็ต้องรักษาสถานภาพให้อยู่ได้ การเมืองเป็นสิ่งเดียวที่ต้องการหยุดเวลา เพื่อไม่ให้อำนาจเปลี่ยนแปลง แต่วิกฤตที่เข้ามาท้าทาย ก็จะเป็นข้อพิสูจน์ที่ทำให้ต้องจับตาดูปฏิกิริยาของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ว่าจะถึงขั้นทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองหรือไม่
ขณะที่ด้านสังคม มีเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า โควิด-19 ได้สร้างความขัดแย้งภายในลึกๆให้กับชุมชน
เราได้เห็นการตีตราเรื่องจิตสำนึก ซึ่งเป็นนามธรรมละเอียดอ่อน แน่นนอนว่าการชี้หน้าคนนั้นมีจิตสำนึก คนนี้ไม่มีจิตสำนึก หลังจากที่โควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว ความรู้สึกที่เหลืออยู่จะกลายเป็นบาดแผล คือความแปลกแยก หรือแตกแยก
คนที่เคยสนิทกันก็จะไม่สนิทใจ, คนที่เคยเป็นเพื่อนบ้านกันก็จะกลายเป็นแค่คนที่ไม่ต้องการรู้จัก
ท่ามกลางวิกฤต ที่ต่างคนต่างดิ้นรนเอาตัวรอด มีคำพูดคุ้นหูบอกไว้ "จะดูคนให้ดูช่วงเวลาลำบาก" หรือ "จะพิสูจน์ใจคนให้ดูช่วงเวลาเกิดวิกฤตเดือดร้อน ก็จะได้เห็นว่ามีใครสักกี่คนที่อยู่กับเราคอยช่วยเหลือเราจริงๆ"
ยิ่งสถานการณ์แบบนี้ยิ่งเห็นชัดเจน และหลังจากโควิดผ่านพ้น ความสัมพันธ์ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เรียกได้ว่าสถานการณ์วิกฤตช่วยคัดกรองคนจริงใจ
บนโลกใบนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน การเกิดขึ้นของโรคระบาด ที่มาทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ล้วนเป็นไปตาม "กฎธรรมชาติ"
มีภาพที่เป็นปริศนาธรรมในโรงมหรสพทางวิญญาณของ "พุทธทาสภิกขุ" ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พระภิกษุนั่งอยู่บนลิ้นของงูพิษ แต่ไม่หล่นไปโดนเขี้ยวของงูพิษ แสดงให้เห็นว่าทุกชีวิตล้วนอยู่ท่ามกลางความทุกข์ ต้องตั้งสติดีดีแบบพระภิกษุในรูป จะได้ไม่ตกไปโดนเขี้ยวงู
ตีความว่า หากเห็นความ เกิด-ดับ แล้วไม่ถือมั่นหวั่นไหว อยู่ในโลกไม่ต้องหนีไปไหน มีสติรู้ตัว มีปัญญาหาทางแก้ปัญหา ก็ไม่หล่นไปถูกเขี้ยวของโลก เหมือนลิ้นงูอยู่ในปากงู ชิดเขี้ยวอันเต็มไปด้วยน้ำพิษ แต่ไม่เคยถูกพิษนั้นเลย สำหรับโลกเราสมัยนี้ก็นับว่าเต็มไปด้วยพิษงู เราจะต้องอยู่อย่างฉลาด โดยไม่ถูกเข้ากับพิษเหล่านั้น ด้วยความเข้าอกเข้าใจ
คนที่ยอมรับ และปรับตัว จะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ต่อไปได้อย่างไม่เป็นทุกข์ หรือเป็นทุกข์น้อยที่สุด เมื่อเกิดปัญหาจะมีปัญญาหาทางออกได้ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปกี่ยุคก็ตาม
#วชิรวิทย์รายวัน