"ดร.รยุศด์" บอก รบ.ยิ่งตัดสินใจช้า ประชาชนจะทั้งเจ็บและจบ

ดร.รยุศด์ บุญทัน ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสามัคคีไทย กล่าวถึง ข้อเสนอ 'อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ' ของกลุ่มคณบดีแพทย์ศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการประชุมด่วนวางแผนติดตามควบคุมโรคไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด-19 ที่ทำเนียบรัฐบาล ร่วมกับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมาว่า นอกจากข้อเสนอดังกล่าวคณะแพทย์ยังได้คาดการณ์ว่าหากดำเนินมาตรการแบบเดิมตามที่รัฐบาลทำอยู่ไปอีก 30 วัน จำนวนผู้ป่วย จะสูงถึง 351,948 ราย นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 52,792 ราย อยู่ไอซียู 17,597 ราย เสียชีวิต 7,039 ราย แต่ถ้าหากใช้มาตรการล็อคดาวน์ ให้ประชาชนอยู่ในบ้าน ตัวเลขคาดการณ์จำนวนผู้ป่วยจะอยู่แค่ 24,269 ราย นอนโรงพยาบาล 3,640 ราย ไอซียู 1,213 ราย ตาย 485 รายดร.รยุศด์ กล่าวต่อว่า จะถือเป็นนิมิตหมายที่ดีอย่างมากหากรัฐบาลฟังคำแนะนำของคณะแพทย์ที่นอกจากจะเป็นผู้มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในด้านนี้โดยตรงแล้ว ซึ่งตนและพรรคสามัคคีไทยสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาตนก็ได้พยายามเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศทำสงครามอย่างจริงจังและยกระดับโควิด-19 ให้เป็น "วาระแห่งชาติ" ที่ต้องทุ่มเทสรรพกำลังจากทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขอย่างเร่งด่วนมาแล้ว อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ ทุกนาทีมีค่า การทำงานที่ล่าช้าของรัฐบาลจะยิ่งส่งผลให้เชื้อแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น ผลกระทบก็ยิ่งขยายวงกว้างมากเช่นกัน จริงอยู่มาตรการที่เด็ดขาด ย่อมต้องมีแผนการรองรับ เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบ แต่การระบาดของเชื้อดังกล่าวไม่ได้เพึ่งมีวันสองวัน เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เตรียมการรองรับอย่างเป็นระบบไว้ล่วงหน้า ตนไม่แน่ใจว่าตอนนี้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสาธารณสุข กำลังคิดอะไรอยู่ เพราะท้ายสุดอย่างไรรัฐบาลก็ไม่ได้มีทางเลือกที่ดีที่สุดหลายทางอยู่แล้ว ตนจึงไม่เข้าใจถึงเหตุผล ตรรกะ วิธีคิด และแรงจูงใจของรัฐบาลที่ยังคงประวิงเวลาของการล็อคดาวน์ประเทศเอาไว้

ดร.รยุศด์ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการพิสูจน์วิสัยทัศน์ผู้นำ ทุกวินาทีที่รัฐบาลทำงานและตัดสินใจช้า หมายถึงชีวิตคนที่อาจจะติดเชื้อและอาจจะเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น แล้วท่านนายกฯ และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นไหวหรือไม่? เพราะอย่าลืมว่าบ้านเมืองนี้เป็นของเราทุกคนไม่ใช่ของรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว พวกท่านจึงต้องรับฟังสิ่งที่ทุกฝ่ายเสนอแนะ ตนจึงฝากถามสองท่านด้วยความเป็นห่วงประเทศชาติเช่นกัน และท้ายสุดอย่างที่ตนเคยเสนอไปก่อนหน้าแล้วว่า ถ้าเรายอมเจ็บเร็วเท่าไร วิกฤตก็จะยิ่งจบเร็วขึ้นเท่านั้น แต่หากยังยื้อเวลาออกไป รัฐบาลยังไม่ยอมฟังใครแบบนี้ รับรองว่าคนที่เจ็บและจบอาจจะเป็นประชาชนเสียเอง ดังนั้นตนจึงขอวิงวอนให้รัฐบาลเร่งพิจารณาในสิ่งที่ทุกฝ่ายเสนออย่างเร่งด่วนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป