นายวิชัย กล่าวต่อว่า สำหรับผลจากการตรวจสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบ ณ สิ้นเดือน ก.พ.2563 พบว่า มีสต๊อกคงเหลืออยู่แค่ 2.3 แสนตัน ต่ำกว่าตัวเลขสต๊อกที่เหมาะสม(เซฟตี้สต๊อก) ที่ควรจะมี 3 แสนตัน แต่เชื่อว่าแม้ปริมาณผลผลิตจะออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นก็ไม่น่าจะกดดันสต๊อก เพราะส่วนหนึ่งจะถูกดึงไปใช้ผลิตน้ำมันบี 10 ที่ปัจจุบันเป็นน้ำมันภาคบังคับแล้วและตั้งแต่วันที่ 1มี.ค.2563ทุกปั๊มต้องมีจำหน่าย โดยคาดว่าจะมีการนำน้ำมันปาล์มดิบไปใช้เกิน 2 ล้านตันต่อปี ส่วนในครัวเรือนจะใช้ 1.2 ล้านตันต่อปี ปริมาณทั้งระบบน่าจะเพียงพอหรือขาดนิดหน่อย และยังจะต้องส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำไปผลิตกระแสไฟฟ้าอีก5-6 หมื่นตันซึ่งจะดึงผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบออกไปได้อีกมาก
อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวต่ออีกว่า ขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานฝ่ายความมั่นคง กรมศุลกากร ตำรวจ ทหารให้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบเพราะขณะนี้ราคาในประเทศเฉลี่ยที่กก.ละ 30 บาท แต่ราคาในประเทศเพื่อนบ้านกก.ละ 20 บาท ซึ่งจูงใจให้มีการลักลอบส่วนการนำเข้าในปัจจุบัน ได้กำหนดให้นำเข้าได้ 3 ด่าน คือ ด่านศุลกากรมาบตาพุดสำนักงานศุลกากรกรุงเทพ และสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง และนำผ่านขาเข้าได้ 1 ด่าน คือ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพและนำผ่านขาออกได้ 3ด่าน คือ ด่านศุลกากรจันทบุรี ด่านศุลกากรหนองคาย และด่านศุลกากรแม่สอดนอกเหนือจากนี้ ไม่อนุญาต
นอกจากนี้ได้เร่งติดตั้งมิเตอร์ที่แทงก์น้ำมันปาล์ม หลังจากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)ได้อนุมัติงบประมาณมาให้แล้ว 470 ล้านบาท โดยกำลังออกทีโออาร์ให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูลแบบอีอ๊อกชั่นเพื่อทำการติดตั้ง และเมื่อติดตั้งได้ครบแล้วจะทำให้ติดตามสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบของประเทศได้แบบเรียลไทม์