svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

นักวิชาการ กม. ถามภาครัฐใช้ กม.คุม COVID-19 เหมาะสมยัง

28 กุมภาพันธ์ 2563
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"อัยการธนกฤต" ยก 5 ข้อสังเกต ใช้อำนาจ พ.ร.บ.โรคติดต่อ แต่มาตรการยังไม่ชัดเจน ยก ตย.คนไทยกลับประเทศกลุ่มเสี่ยงต้องชันสูตรโรค-ควรรับภาระค่าใช้จ่ายเองหลังรัฐเตือนแล้ว ขณะที่ กม.บางมาตรการ โทษยังเบา ไม่เหมาะสภาพการณ์

เมื่อวันที่ 28 ก.พ.63 - "ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล" อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในการให้ข้อสังเกตต่อการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 รับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19) ว่า ตามที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 และภาครัฐโดยคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อแห่งชาติ ที่มี รมว.สาธารณสุขเป็นประธานกรรมการได้มีมติเมื่อวันที่ 24 ก.พ.63 ให้เพิ่มโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตรายภายใต้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ลำดับที่ 14 เพื่อรับมือกับการระบาดของโรคนี้ ผมมีข้อสังเกตต่อการใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ดังนี้ 

นักวิชาการ กม. ถามภาครัฐใช้ กม.คุม COVID-19 เหมาะสมยัง



1.ยังไม่ได้ประกาศให้ประเทศกลุ่มเสี่ยงเป็นเขตติดโรคจากเชื้อไวรัสโคโรนา รมว.สาธารณสุข ยังไม่ได้ประกาศให้ประเทศหรือเมือง หรือเขตการปกครองที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นเขตติดโรค ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯ มาตรา 8 ซึ่งหากมีการประกาศเขตติดโรคจะเป็นประโยชน์ในการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยเฉพาะมาตรการตามมาตรา 40 และมาตรา 41 ในการป้องกันและควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่จะเข้ามาภายในประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ในขณะนี้จึงมีแต่เพียงคำแนะนำจากกระทรวงสาธารณสุขให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงต่อการระบาดของโรคเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งมีการระบาดของโรคไข้เหลือง เมื่อเดือน ธ.ค.60 รมว.สาธารณสุขในขณะนั้น ได้เคยประกาศให้ประเทศต่าง ๆ จำนวน 42 ประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในทวีปแอฟริกาเป็นเขตติดโรคไข้เหลือง เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคไข้เหลืองซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายไม่ให้เข้ามาในประเทศไทย 

2.ภาครัฐ ควรมีมาตรการที่ชัดเจน เหมาะสม เพียงพอ และเป็นไป ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ในการรับมือกับการระบาดของโรคที่มาจากคนไทยที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง หลังจากที่หน่วยงานของรัฐออกคำเตือนข้อควรระวังให้คนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังกลุ่มประเทศที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แล้วหากคนไทยคนใดยังคงเดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยงเหล่านี้อยู่อีก และเดินทางกลับเข้ามาประเทศไทยในช่วงที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคอยู่ ภาครัฐควรมีมาตรการในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพจากบุคคลเหล่านี้ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องจิตสำนึกของแต่ละบุคคลว่าจะมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคแค่ไหน อย่างไร เพราะจิตสำนึก วิจารณญาณ และวินิจฉัย ของแต่ละบุคคลย่อมแตกต่างกันไปได้ และมีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้มีการแพร่กระจายของโรคไปสู่กลุ่มคนในวงกว้างและสร้างความตื่นตระหนกวิตกกังวลในหมู่ประชาชนได้
กรณีของปู่และย่าที่เดินทางไปท่องเที่ยวที่เมืองฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น และทำให้เกิดการแพร่กระจายของโรคเมื่อเดินทางกลับมาถึงประเทศ ไทยเป็นตัวอย่างได้ดี ในเรื่องนี้ พ.ร.บ.โรคติดต่อ ฯ มาตรา 34 (1) , มาตรา 40 (3) และมาตรา 42 ให้อำนาจเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในการดำเนินการให้ผู้ที่เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงกลับเข้ามาในประเทศไทย ต้องเข้ารับการตรวจหรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่ รวมทั้งมีอำนาจดำเนินการให้แยกกัก กักกัน หรือคุมบุคคลนั้นไว้สังเกตโรค ณ สถานที่ซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกำหนด จนกว่าจะได้รับการตรวจและการชันสูตรทางการแพทย์ว่าพ้นระยะติดต่อของโรค
จึงมีข้อควรพิจารณาว่า หน่วยงานของรัฐได้ดำเนินมาตรการต่อผู้ที่เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเพียงพอ ตามที่ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ กำหนดไว้แล้วหรือไม่ เพื่อเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค การใช้เครื่องวัดอุณหภูมิเพื่อคัดกรองโรคแก่คนไทยที่เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเข้ามาในประเทศไทยหากกระทำไปโดยไม่ได้มีการตรวจและรับการชันสูตรทางการแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่ และไม่ได้ใช้มาตรการในการแยกกัก กักกัน หรือคุมบุคคลนั้นไว้สังเกตโรค ณ สถานที่ซึ่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อกำหนด ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อฯ จะถือว่าเพียงพอในการตรวจคัดกรอง ป้องกันและควบคุมการระบาดของโรคแล้วหรือไม่

3.คนไทยที่เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยงทั้งที่รู้คำเตือนแล้วควรรับภาระค่าใช้จ่ายในการตรวจชันสูตรโรค และการถูกกักกันเองหรือไม่ เพียงใด กรณีของคนไทยที่เดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยงต่อการระบาดของโรคโดยไม่มีเหตุจำเป็นภายหลังจากที่มีข้อแนะนำและคำเตือนจากภาครัฐให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยงเหล่านี้ เมื่อเดินทางกลับเข้ามาประเทศ ไทยและเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีคำสั่งให้คนไทยผู้นั้นต้องเข้ารับการตรวจหรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือไม่รวมทั้งหากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อมีคำสั่งให้แยกกัก กักกัน หรือคุมบุคคลนั้นไว้สังเกตโรค มีข้อควรพิจารณาว่าการที่บุคคลนั้นยังคงเดินทางไปยังกลุ่มประเทศเสี่ยงทั้งที่มีข้อแนะนำและคำเตือนจากภาครัฐ เป็นการแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นพร้อมที่จะรับความเสี่ยงในการติดโรคที่อาจเกิดขึ้นได้
ดังนั้นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการตรวจ ชันสูตรโรค รวมถึงค่าใช้จ่ายในระหว่างถูกแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกตโรค ควรใช้มาตรการทางกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มาตรา 7 (4) และมาตรา 42 วรรคสอง ที่กำหนดให้ผู้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกิดขึ้น แทนการใช้เงินของรัฐที่เป็นเงินภาษีของประชาชนหรือไม่ แค่ไหน เพียงใด
4. บทกำหนดโทษ ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ หลายกรณีเบาเกินไป ไม่เหมาะสมกับปัจจุบัน บทกำหนดโทษที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ มีหลายมาตราที่ไม่เหมาะสม มีอัตราโทษที่น้อยเกินไป เมื่อพิจารณาถึงสถานการณ์ความรุนแรงของโรคติดต่อและความเจริญของเทคโนโลยีด้านการคมนาคมในปัจจุบันที่ทำให้การติดต่อไปมาหาสู่กันกระทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว จึงควรที่จะปรับบทลงโทษให้มีความเหมาะสมกับสภาพการณ์ ความเจริญ และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น การฝ่าฝืนมาตรา 34 (1)
โดยไม่ยอมเข้ารับการตรวจ หรือรับการชันสูตรทางการแพทย์ หรือไม่ยอมถูกแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้สังเกตโรค ตามคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ มีอัตราโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท ตามมาตรา 51 การฝ่าฝืนคำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตามมาตรา 22 (6) หรือคำสั่งของคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครตามมาตรา 28 (6) หรือคำสั่งของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามมาตรา 45 (1) ให้มาให้ข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็น หรือให้จัดส่งข้อมูล เอกสาร หรือหลักฐานใดที่จำเป็นเพื่อตรวจสอบหรือประกอบการพิจารณา มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 49 เป็นต้น
5.คณะกรรมการโรคติดต่อระดับจังหวัด ได้เตรียมพร้อมทำแผนเฝ้าระวังป้องกันโรคระบาดในวงกว้างไว้แล้วหรือไม่ "คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด" และ "คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร" ได้มีการเตรียมความพร้อมโดยจัดทำแผนปฏิบัติการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นโรคติดต่ออันตรายในเขตพื้นที่จังหวัดของตนไว้แล้วหรือไม่ เพื่อเตรียมรับมือกับการระบาดของโรค หากมีการแพร่ระบาดในวงกว้างภายในประเทศ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาช่องว่างในการบังคับใช้ พ.ร.บ. โรคติดต่อ ฯ อีกหลายกรณี ซึ่งไม่ขอกล่าวในที่นี้

logoline