แบงก์กรุงศรีหั่นจีดีพีปี 63 เหลือโต 1.5%

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมวิจัยเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ปัจจัยที่บั่นทอนการเติบโต มาจากการพิจารณาผ่านร่าง พ.ร.บ. งบประมาณเลื่อนออกไปยาวนานกว่าที่คาด ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไม่เพียงกระทบต่อการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ผ่านการหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตและผลกระทบต่อรายได้ นอกจากนี้ปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นกว่าที่ประเมินไว้ ปัจจัยทั้งสามดังกล่าว จึงอาจส่งผลกระทบเชิงลบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงกว่าเดิม ดร.สมประวิณ ฉายภาพให้เห็นเพิ่มเติมว่า ความล่าช้าของ พรบ.งบประมาณ อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นและกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้ว ทำให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโครงการใหม่ และโครงสร้างที่กำลังดำเนินอยู่ คาดว่าจะล่าช้า โดยศูนย์วิจัยกรุงศรีได้ปรับลดคาดการณ์มูลค่าการลงทุนปีนี้ลง 1.51 แสนล้านบาท คิดเป็น 0.9% ของGDP
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่คาดว่าจะรุนแรงสุดในเดือนมีนาคม และอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงเดือนพฤษภาคมในการคลี่คลายสถาการณ์ โดยผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกจากอิทธิพลที่เพิ่มขึ้นของเศรษฐกิจจีน และอาจทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกหายไปถึง 0.27% ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะกระทบหนักสุดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 และอาจฉุด GDP ทั้งปีให้โตเพียง 1.5%
ในขณะที่ปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงกว่าที่คาดการณ์ อาจจะส่งผลกระทบให้ GDP ปีนี้ ลดลงจากประมาณการเดิม 0.3% ซึ่งปัญหาภัยแล้งที่มีแนวโน้มลากยาวนอกจากจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว  ยังกระทบการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและภาคธุรกิจผ่านความเชื่อมโยงของห่วงโซ่อุปทานด้วย