ปรากฏว่าเรื่องดังกล่าวได้รับทราบถึงทางด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อย โดยเขาได้กล่าวว่า โดยส่วนตัวเขาไม่มีปัญหากับความต้องการดังกล่าวของผู้นำฟิลิปปินส์ เพราะจะช่วยให้สหรัฐฯ ประหยัดงบประมาณด้านทหารลงไปอีกจำนวนมาก
แต่เขาก็ยังได้ยืนยันว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเขากับผู้นำฟิลิปปินส์ยังดีมาก แม้ว่าผู้นำฟิลิปปินส์ จะปฏิเสธเข้าร่วมการประชุมสุดยอด ระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ซึ่งกำหนดการในเบื้องต้นคือภายในเดือนมีนาคม นี้
ขณะที่ท่าทีก่อนหน้านี้ของทางด้านสหรัฐฯ มาร์ค เอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ได้ออกมายอมรับว่าตนเองได้รับหนังสือ อย่างเป็นทางการจากรัฐบาลฟิลิปปินส์ แสดงความจำนงต้องการยุติข้อตกลงดังกล่าวแล้ว แต่ก็บอกว่าตนเองนั้นยังไม่ได้อ่านอย่างละเอียด
มาร์ค เอสเปอร์ ย้ำว่านี่เป็นความโชคร้ายของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่เลือกเดินทางผิด แต่ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไม ถึงระบุว่าการกระทำของรัฐบาลฟิลิปปินส์ กับสหรัฐฯ ครั้งนี้ถึงเป็นการเลือกทางเดินที่ผิด นอกจากนั้นเค้ายังได้บอกว่า ตัวเขาเองเพิ่งได้เดินทางเยือนประเทศแห่งนี้ช่วงปลายปีที่ผ่านมา และตอนนั้นมีความเชื่อมั่นว่าความสัมพันธ์ด้านนโยบายกลาโหมในระดับทวิภาคีระหว่างสองประเทศยังยังแข็งแกร่ง
ขณะที่ทางด้านสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำกรุงมะนิลาออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว ว่าทางด้านสหรัฐฯจะพิจารณาวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อยกระดับ ขับเคลื่อนการแบ่งปันผลประโยชน์ร่วมกันต่อไป แต่ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นก้าวย่างสำคัญ ซึ่งจะมีผลอย่างแน่นอนต่อความเป็นพันธมิตรทางทหารระหว่างสหรัฐฯ กับฟิลิปปินส์
สำหรับการถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าวของฟิลิปปินส์จะมีผลอย่างเป็นทางการภายใน 180 วัน หากสหรัฐฯและไม่มีการเจรจาเป็นอย่างอื่นเพื่อหาทางคลี่คลายข้อพิพาทให้ทันตามกรอบระยะเวลา
มีรายงานด้วยว่า วุฒิสมาชิกฟิลิปปินส์หลายคนทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีโรดริโก ดูเตอร์เต ในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการตัดสินใจฝ่ายเดียวนั่นเอง