วุฒิสภา จากรีพับลิกัน มีมติอุ้มทรัมป์ หลุดถอดถอนจากตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ

พรรครีพับลิกัน นำโดยนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ ซึ่งเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมากในวุฒิสภา ได้กำหนดให้คณะกรรมการพิเศษของสภาผู้แทนราษฎร และทีมงานฝ่ายกฎหมายของผู้นำสหรัฐฯแถลงปิดการไต่สวนในวันจันทร์ที่ 4 ก.พ. นี้ และวุฒิสภาเต็มคณะ 100 ที่นั่งจะลงมติในวันพุธที่ 6 ก.พ. นี้ และการที่วุฒิสมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันทั้ง 53 คนยืนยันจะไม่ลงมติรับรองบทบัญญัติถอดถอนทั้งสองข้อ ซึ่งต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 60 เสียง ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นก็แสดงว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะพ้น จากกระบวนการถอดถอนอย่างเป็นทางการในวันดังกล่าวทันที
ด้านพรรคเดโมแครต โดยนายชัค ชูเมอร์ ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยวุฒิสภา เขาได้บอกว่า เป็นวันอันเลวร้าย ที่สมาชิกไม่สามารถยึดมั่นตามคำสัตย์ปฏิญาณก่อนเริ่มกระบวนการได้ ทั้งนี้ ในช่วงสุดท้ายของการไต่สวน พรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตถกเถียงกันในประเด็นการเรียกพยานเพิ่มเติม โดยเฉพาะพยานบุคคล ที่พรรคเดโมแครตต้องการสอบสวนนายจอห์น โบลตัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ขณะที่พรรครีพับลิกันโต้แย้งว่า หากโบลตันเข้ามาให้ข้อมูลก็จะต้องเชิญพ่อลูกไบเดนด้วย คืออดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน และนายฮันเตอร์ ไบเดน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของของกระบวนการถอดถอน นั่นเอง
ถ้าย้อนกลับไปก่อนหน้านี้กระกระบวนการดังกล่าว ได้เริ่มต้นขึ้นโดยทางด้าน สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ มีมติ 228 ต่อ 193 เสียง ให้ส่งคำฟ้องขอถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ ให้ทางวุฒิสภาดำเนินการต่อไป
ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส.ส. แนนซี เพโลซี แต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 7 คน เพื่อทำหน้าที่คณะผู้ดำเนินการของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอถอดถอนประธานาธิบดี หรือ Impeachment Managers ซึ่งจะทำหน้าที่คล้ายอัยการในการยื่นขอถอดถอนผู้นำสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีทรัมป์ กลายเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์การเมืองของสหรัฐฯ ที่ถูกสภาล่างเสนอถอดถอน ตามหลังอดีตประธานาธิบดี แอนดรูว์ จอห์นสัน และอดีตประธานาธิบดี บิล คลินตัน ส่วนผู้นำสหรัฐฯ อีกคนหนึ่งซึ่งถูกกระบวนการไต่สวนเพื่อถอดถอนเช่นกัน คืออดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน แต่ได้ชิงลาออกจากตำแหน่งก่อนที่กระบวนการดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์