"อัยการ" แจงหลักฐานไม่พอฟ้อง​ "ชัยวัฒน์"

ประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า บอกว่าจากที่ DSI ส่งสำนวนมา 8 ข้อหาให้อัยการฟ้องนายธวัชกับพวกรวม 4 คนข้อหาสุดท้ายก็หาที่ 8 เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เป็นข้อหาเดียวที่มีหลักฐานเพียงพอในการส่งฟ้องต่อศาลซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสิบปี

ส่วนข้อหาที่เหลือทั้งหมดโดยเฉพาะข้อหาแรก ร่วมกันถ้านายบิลลี่ ยังคงมีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะส่งฟ้องได้ แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าอัยการได้วินิจฉัยว่านายชัยวัฒน์ไม่ได้ค่านายบิลลี่ แต่เห็นหากส่งฟ้องไปทั้งที่ยังมีหลักฐานไม่เพียงพอ ศาลอาจยกฟ้องและจะเกิดความเสียหายได้มากกว่า เพราะคดีอาญายื่นฟ้องได้ครั้งเดียว
ทั้งนี้จากที่คณะทำงานของอัยการคดีพิเศษ ได้ส่งข้อมูลมามีข้อสังเกต คือนายบิลลี่ถูกควบคุมตัวและมีพยานเห็นว่าปล่อยตัวแล้ว หลักฐานส่วนนี้เป็นหลักฐานต่อสู้สำคัญถึง 3 ศาลจังหวัดเพชรบุรี จนกระทั่งศาลฎีกา ยกฟ้อง คำร้องของนางมึนอ
ต่อมาภายในชั้นสอบสวนของ DSI หลังพบกระดูกพยาน 5 ปากที่เคยยืนยันต่อศาลเพชรบุรีว่าพบเห็นการปล่อยตัวนายบิลลี่ มี 2 ปากที่กลับคำให้การ แต่การชั่งน้ำหนักคำให้การในชั้นศาลก่อนหน้านี้ มีน้ำหนักมากกว่า
อีกประเด็นคือ การตรวจพิสูจน์กระดูกที่ใช้เทคโนโลยี ไมรโคควอเที่ยม ซึ่งพิสูจน์ได้เพียงสายสัมพันธ์ชั้นแม่ เท่านั้น ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เป็นของนายบิลลี่จริงหรือไม่ แม้การตรวจไมโครควอเที่ยม จะเชื่อมโยงกับคดีแต่ก็ไม่มีพยานแวดล้อม ที่รู้เห็น เพราะจำเป็นต้องบรรยายในคำฟ้องว่าฆ่า ที่ไหน ฆ่า เมื่อไหร่ และฆ่า อย่างไรด้านนางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ มึนอ ภรรยานายบิลลี่ บอกว่าเข้าใจในการกระบวนการทำงานของอัยการแต่ยืนยันว่าบิลลี่ถูกควบคุมตัว แล้วมีคนเห็นครั้งสุดท้ายที่ด่านมะเร็ว ส่วนเรื่อง DNA กระดูก ยืนยันว่าต้องเป็นของนายบิลลี่ได้แน่ๆเพราะ ชาวกะเหรี่ยงไม่มีใครนำอัฐิไปลอยอังคารในอ่างเก็บน้ำอย่างแน่นอนขณะที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชน ที่ช่วยเหลือมึนอ ในการดำเนินคดีต่างๆ บอกว่าจะเร่งทำหนังสือให้ DSI สืบพยานเพิ่มเติม และขอให้เร่งทำความเห็นแย้งอัยการ ยืนยันต้องการให้รัฐเป็นผู้ทำคดีนี้ มากกว่าที่จะฟ้องเอง