นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวในรายการหยิบข่าวมาคุย ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมพีซทีวีประจำวันที่ 24 มกราคม 2563 กรณีการเสียบบัตรแทนกัน โดยระบุว่า
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับนายชัย ชิดชอบ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยและอดีตประธานรัฐสภาที่ ถึงแก่อนิจกรรมอย่างสงบที่บ้านในจังหวัดบุรีรัมย์เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ซึ่งในใจเธอเป็นบุคคลที่มีความสามารถและมีศักยภาพในการใช้ลูกเล่นลูกฮาในการคลี่คลายบรรยากาศการประชุม และส.ส.ส่วนใหญ่จะเรียกนายชัย ว่าพ่อชัย ซึ่งทำหน้าที่เป็นนักการเมืองมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2512 และขอเเสดงความเสียใจต่อการจากไปของนายชัย ชิดชอบ ส่วนกรณีการเสียบบัตรแทนกันที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีออกมาระบุ กรณีที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาเรื่องนี้ได้นั้นส่วนตัวมองว่า เป็นความพยายามของนายวิษณุ ในฐานะที่ดูแลฝ่ายกฎหมาย และหลายคนก็บอกว่าเป็นบิดาแห่งข้อยกเว้น การใช้อภินิหารทางกฎหมาย ตั้งฉายาเป็นเนติบริกร ซึ่งหากมองดูแล้วความสามารถของนายวิษณุก็เป็นความสามารถที่จะกระทำได้หากเรื่องนั้นๆยังไม่เคยปรากฏ แต่กรณีเสียบแทนกันนั้นมีการกรณีที่เป็นตัวอย่าง ดังนั้นข้อถกเถียงที่หยิบขึ้นมาอ้างกันในปัจจุบันนั้น ถูกศาลรัฐธรรมนูญตีตกทั้งหมด ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2556 ในการพิจารณา ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณา พยานหลักฐานที่สำคัญคือ คลิปวีดีโอ และพยานในเหตุการณ์ซึ่งเป็น ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็เหมือนกับหลักฐานที่เป็นภาพวิดีโอในปัจจุบันที่สื่อมวลชนบันทึกภาพไว้ได้ โดยบุคคลที่ถูกข้อกล่าวหานั้นกำลังใช้บัตรหลายใบ เสียบลงคะแนน ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาพยายามชี้แจงว่า บัตรที่ใช้ในการออกเสียงส.ส.มีอยู่ 2 ประเภทคือ บัตรลงคะแนน / บัตรเเสดงตน และบัตรประจำตัวส.ส. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ระบุชัดเจนว่า ข้ออ้างการพกบัตรหลายใบนั้นฟังไม่ขึ้น ขัดต่อพฤติกรรมปกติของวิญญูชน ศาลรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ก็คือชุดปัจจุบัน อ้างว่าผู้ถูกร้องมีบัตรหลายใบประกอบกับมีพฤติกรรมเสียบบัตรหลายครั้ง ในการแสดงตนนั้น ข้อเท็จจริงการไต่สวน ปรากฏว่าส.ส.แต่ละคนจะมีบัตรฉบับจริงที่มีรูปภาพของบัตรได้เพียงคนละ 1 ใบและสามารถขอบัตรสำรองได้อีก 1 ใบเมื่อใช้เสร็จต้องเอาไปคืน ประกอบกับข้อที่กล่าวอ้างนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีเหตุผลผิดวิสัย ของผู้ที่มีฐานะเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยและขัดต่อพฤติกรรมโดยปกติของวิญญูชน ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้
นายจตุพรกล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยต่อว่าปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของผู้ถูกร้องมีผลให้การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทตราขึ้น โดยไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยศาลเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดหลักการพื้นฐานของการเป็นสส ซึ่งถือได้ว่า เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทย ต้องปฏิบัติหน้าที่โดยไม่อยู่ในความผูกมัดแห่งอาณัติมอบหมายหรือการครอบงำใดๆ และต้องปฏิบัติด้วย ความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ส่วนร่วมของปวงชนชาวไทย โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 122 ขัดต่อหลักความสื่อสัตย์สุจริตที่ส.ส.ได้ ปฏิญาณตนไว้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 123 และขัดต่อหลักการออกเสียงการลงคะแนนตามมาตรา 126 วรรค 3 ที่ให้สมาชิกคนหนึ่งมีเพียง 1 เสียง ในการออกเสียงลงคะแนน
โดยศาลสรุปสุดท้ายว่า มีผลทำให้การออกเสียงลงคะแนนส.ส.ในการประชุมพิจารณา ร่างกฎหมายดังกล่าวนั้นเป็นการออกเสียงลงคะแนนโดยไม่สุจริต ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของผู้แทนปวงชนชาวไทย /เมื่อกระบวนการออกเสียงลงคะแนนในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญจึงถือว่ามติของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการตราร่าง พระราชบัญญัติเงินกู้ดังกล่าว เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อันมีผลให้ร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ดังกล่าวตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ภายหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาเสร็จแล้ว ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช.เมื่อช่วงปลายปี 2559 มีมติชี้มูลความผิดผู้ถูกร้องในกรณีนี้ ในข้อหาเสียบบัตรแสดงตนในเครื่องคนอื่นหรือดึงออกมาเสียบใหม่จึงเข้าข่ายมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และพระราชบัญญัติป.ป.ช. มาตรา 123 และมาตรา 123 ทับ 1 รวมถึงจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และทำให้ผู้อื่นเชื่อว่า มีตำแหน่งที่นั้นๆทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งเช่นที่ว่า แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบทำให้การลงคะแนนถูกบิดเบือน และหลังจากนั้นได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเพื่อส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในชั้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้การลงมติดังกล่าวอยู่ในวาระ 2 ซึ่งเป็นการพิจารณารายมาตรา แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ตกทั้งฉบับ ดังนั้น การที่จะมาอธิบายว่า แก้เฉพาะ ในส่วนที่เป็นปัญหาหรือมาตราที่เป็นปัญหาคงไม่ได้เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้เเล้ว ในร่างพระราชบัญญัติเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทซึ่งมีสถานะเทียบเท่ากับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563ดังนั้นตนเชื่อว่า การที่นายชวน หลีกภัยประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปเมื่อวานนั้น เป็นการส่งสัญญาณไปยังว่ารัฐบาลยังไม่สามารถนำความกราบบังคมทูลได้นายจตุพรกล่าวว่า กรณีร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายปี 2563 ต้องนำมาเทียบเคียงกับกรณีการเสียบบัตรแทนกัน เมื่อปี 2556 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ศาลรัฐธรรมนูญ ได้หยิบยกกรณีของคนเพียงคนเดียวที่ไปกดบัตรแทนบุคคลอื่นแต่กรณีที่เป็นข่าวกันในปัจจุบันนี้ มีอยู่ 4 กรณี คือ กรณีที่ปรากฎเป็นคลิปวิดิโอกดบัตรแทนกันมี 2 กรณี / กรณีของนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติอดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแฉ ตัวส.ส.ไม่อยู่ในห้องประชุมแต่มีการลงมติและ กรณีที่เดินทางไปประเทศจีน ทั้ง 4 กรณีเชื่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและนายอนุทิน ชาญวีรกุล ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่เป็นเพราะความเคยตัวของการเป็นส.ส.ก็ฝากเพื่อนกดบัตรแทนกันได้ขณะเดียวกันห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎรในขณะนี้สามารถประชุมร่วมของรัฐสภาได้ ดังนั้นการอ้างว่า จำนวนที่กดบัตรไม่เพียงพอ ไม่ใช่เหตุผลที่จะให้มีการกดบัตรแทนกันได้ อย่างไรก็ตามคำวินิจฉัยขอศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร และเชื่อว่า ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือเป็นโมฆะนายจตุพรกล่าวถึงกระเเสข่าวการอภิปรายไม่ไว้วางใจของรัฐบาลว่ามีการฮั้วกันหรือไม่นั้นส่วนตัวมองว่า ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลจะต้องพิสูจน์ตัวเองในวันอภิปรายจริง หากมีข้อมูลพยานหลักฐานครบในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ต้องแสดงออกมาใช้ชัด ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่มายังพรรคฝ่ายค้านและความร้อนตัวของคนในรัฐบาลก็จะจบลงในวันอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่างไรก็ตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะต้องไม่ เยิ่นเย้อยาวนานและจะต้องมุ่งไปที่เป้าหมาย ไม่อภิปรายแบบเหวี่ยงแห