การประชุมคณะทำงานฯ ประกอบด้วยผู้แทนกรมบัญชีกลาง สภาพัฒน์ฯ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสภาเกษตรกรแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย และหน่วยงานในกระทรวงพาณิชย์โดยที่ประชุมได้รับทราบจากกรมบัญชีกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแล พ.ร.บ.การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 ว่า การจัดตั้งกองทุนเอฟทีเอจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยพ.ร.บ. การบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558 และประกาศกระทรวงการคลัง เช่นจะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับกองทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันต้องมีรายได้ที่ทำให้กองทุนสามารถพึ่งพาตัวเองได้โดยไม่ต้องรอพึ่งงบประมาณสนับสนุนรายปีจากภาครัฐ เป็นต้น จึงได้มอบกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศซึ่งเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ ไปหารือกรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำข้อมูลตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด รวมถึงกลไกทางเลือกต่างๆและต้องตอบโจทย์ความต้องการของผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเสนอรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันไทยมีความตกลงเอฟทีเอ13 ฉบับกับ 18 ประเทศ อาทิ อาเซียน 9 ประเทศ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดียออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เปรู ชิลี และฮ่องกงรวมทั้งอยู่ระหว่างเจรจาเอฟทีเอกับอาร์เซ็ป 16 ประเทศ ตุรกี ศรีลังกา ปากีสถานและมีแผนเปิดการเจรจากรอบใหม่ เช่น ไทย-อียู ไทย-สหราชอาณาจักร เป็นต้นซึ่งกองทุนเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเอฟทีเอที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตรฯ ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อช่วยกลุ่มเกษตรกรปรับโครงสร้างการผลิต และลดผลกระทบจากเอฟทีเอและโครงการช่วยเหลือเพื่อการปรับตัวของภาคการผลิตและภาคบริการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการของบประมาณรายปีไม่ใช่กองทุนหมุนเวียน ยังไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเกษตรกร และ SMEซึ่งการขอใช้มีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน ต้องมีการเขียนโครงการเสนอและรูปแบบความช่วยเหลือที่ให้ส่วนใหญ่จะเน้นการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำเป็นต้น การประชุมครั้งนี้ จึงร่วมกันหาแนวทางพัฒนากองทุนให้สามารถพัฒนาศักยภาพผู้ได้รับผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม