สถานีสูบน้ำดิบผลิตน้ำประปาสำแล เป็นต้นทางของน้ำประปาฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานคร และเป็นสถานีสูบน้ำดิบแห่งแรกของไทย ที่ตั้งมาพร้อมๆกับการกำเนิดการประปา ในสมัยรัชกาลที่ 5
เมื่อร้อยปีก่อน คนยุคนั้นคิดคำนวนแล้วว่า ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณวัดสำแล อ.เมือง จ.ปทุมธานี เหมาะสมตั้งเป็นจุดสูบน้ำดิบผลิตน้ำประปา เพราะห่างจากปากแม่น้ำราว 100 กิโลเมตร เชื่อว่าเมื่อเกิดน้ำทะเลหนุนสูง น้ำเค็มก็จะรุกมาไม่ถึง
ไม่มีใครรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่จากน้ำมือมนุษย์ จะทำให้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปหมด อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นก็มีให้เห็น รุนแรง และเกิดถี่มากขึ้น
ปัญหาน้ำเค็มรุกเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยาถึงสถานีสูบน้ำดิบสำแล จ.ปทุมธานี เกิดขึ้นเป็นประจำเกือบทุกปี โดยเฉพาะช่วง 10 ปีให้หลังมานี้
มีปัจจัย 2 อย่างที่ทำให้น้ำรุกเข้ามาถึง ปัจจัยหลักคือภัยแล้ง ไม่มีน้ำเพียงพอมาผลักดันน้ำเค็ม ส่วนอีกปัจจัยหนึ่งคือน้ำทะเลที่หนุนสูงขึ้น เห็นได้จากปัญหากัดเซาะชายฝั่ง ที่กลืนกินพื้นที่ชุมชนบ้านขุนสมุทรจีนจมน้ำทะเลไปครึ่งหมู่บ้าน ทำให้ปากแม่น้ำอยู่ใกล้ฝั่งจากเดิม
ความกังวลนี้รวมถึงงานวิจัยที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้านี้ว่า กรุงเทพมหานคร เสี่ยงจมน้ำในอีก 50 ปี คาดคะเนว่าเมื่อเกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำจะไม่ลดลง แต่จะท่วมถาวรเพราะน้ำระดับทะเลจะหนุนสูงขึ้นกว่าเดิม น้ำทะเลที่สูงขึ้นก็มาจากการละลายของน้ำแข็งขั่วโลก
ทุกวันๆที่โลกร้อนขึ้น 1 องศาฯ ก็จะกระทบระบบนิเวศไปหมด คำถามก็คือ เราเตรียมตั้งรับปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติอย่างไร อย่างน้อยที่สุดในช่วงภัยแล้งนี้ที่เกิดปัญหาน้ำประปาเค็ม เราได้เห็ความพยายามในการต่อสู้กับธรรมชาติของกรมชลประทาน ด้วยการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาไล่น้ำเค็ม แต่ก็ดูเหมือนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเท่านั้น
ในสุดที่ การประปานครหลวงก็ต้องวางแผนย้าย สถานีสูบน้ำดิบหนีน้ำเค็มรุกในที่สุด โดยวางแผนย้ายไปที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ขึ้นไปอีกราว 20 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในแผนระยะกลางของการประปานครหลวง ที่จะดำเนินการในอีก 3-5 ปี แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าอีกร้อยปีจากนี้ โลกจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้อีกหรือไม่
#วชิรวิทย์ #วชิรวิทย์รายวัน #Vajiravit #VajiravitDaily #Nation #NationTV22