เมื่อสามวันก่อน จุดบริเวณนี้ยังแห้ง เห็นดินโปล่กลางแม่น้ำ แต่หลังจากที่กรมชลประทานปล่อยน้ำจาก2เขืรอนใหญ่ ทำให้มีน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงระบบนิเวศน์ แต่ล่าสุดชาวบ้านก็ได้รับคำเตือนให้ลากแพลงไปอีกเพราะน้ำจะเริ่มลดลงอีกสภาพภาพความเเห้งแล้งเมื่อ3วันก่อน ที่ชาวเทศบาลเมืองอุทัยธานี นำมามาโชว์ให้ทีมข่าวดู แสดงให้เห็นถึงความแห้งแล้งขาดน้ำอย่างหนัก ทำให้เรือนแพพักอาศัยของชุมชนชาวแพติดค้างแห้งอยู่บนเนินดินในแม่น้ำ ทำลายระบบนิเวศน์
ทำให้ผู้ที่ประกอบอาชีพการประมงหาเลี้ยงชีพไม่ได้ รวมทั้งการสัญจรทางเรือ แพท่องเที่ยว ต้องหยุดกิจการ ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก นางสมคิด ชาวบ้านชุมชนแพ ที่มีเรือนแพพักอาศัยอยู่ใน 2 ฝั่งแม่น้ำสะแกกรังบอกว่าแม้ว่าจะเกิดสถานการณ์ภัยแล้งเกือบทุกปีก็ตาม แต่ปริมาณน้ำไม่เคยลดระดับมากจนเกือบแห้งขนาดนี้มาก่อนเรียกว่าเกิดวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักทีมข่าวยังสำรวจ บริเวณ บ้านน้ำตก ยังวัดอุโปสถาราม หรือ วัดโบสถ์ โบราณสถานและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดอุทัยธานีไปจนถึงวัดพิชัยปุรนาราม เรือนแพพักอาศัยนับร้อยหลัง ก่อนหน้านี้ติดค้างแห้งอยู่บนเนินดินชาวแพต้องจับปลาในกระชังที่เลี้ยงไว้ขายก่อนกำหนดขาดทุนกันอย่างมาก และไม่สามารถที่จะลงเลี้ยงปลารอบใหม่ได้ จนกว่าสถานการณ์น้ำจะปกติ ด้าน นาย ชํานาญ แตงจุด หัวหน้าสํานักงานป้องกันและ บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เปิดเผยกับเนชั่นทีวี ระบุว่า ใน8อำเภอ แล้งรุนแรงที่สุดคืออำเภอทับทัน ส่วนในเขตเมืองยังไม่ได้รับผลกระทบเรื่องน้ำประปา สำหรับน้ำที่มาหล่อเลี้ยง ในสะแกกรัง มาจากเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ โดยน้ำจะไหลผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนไหลเข้าสู่ประตูประพาสต้น ประตูขุมทรัพย์ แล้วจึงไหลลงสู่แม่น้ำสะแกกรัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับขุมชนชาวแพ ซึ่งขณะนี้แม่น้ำสะแกกรัง เริ่มมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย