ศาลแขวงสงขลา วันนี้ (19 ธ.ค.) นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 9ในคดีที่นายพินิจ รุจิรวนิช นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ยื่นฟ้องน.ส.ฉัตรแก้ว ธนินทรานนท์ อดีตภรรยา เป็นจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ดินสินสมรส มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท และให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดิน และยื่นฟ้อง พ.ต.อ.สุรพงษ์ กิตติธิรางกูร เป็นจำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันยักยอกทรัพย์ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2560 คดีนี้ศาลชั้นต้น พิพากษาจำคุกน.ส.ฉัตรแก้ว 2 เดือน ปรับ 2 หมื่นบาท แต่ให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ส่วน พ.ต.อ.สุรพงษ์ ศาลพิพากษาจำคุก 1 เดือน ไม่รอลงอาญา กระทั่งล่าสุด ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น สั่งจำคุก พ.ต.อ.สุรพงษ์ เป็นเวลา 1 เดือน ส่วนน.ส.ฉัตรแก้ว ศาลลดโทษลงเหลือหนึ่งกระทง เป็นจำคุก 1 เดือน ปรับ 10,000 บาท และให้รอลงอาญาไว้ 1 ปี ในความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน สำหรับคดีนี้ นายพินิจ ได้ยื่นฟ้องต่อศาล กล่าวหาบุคคลทั้งสองร่วมกันยักยอกที่ดิน ตั้งอยู่ใน อ.หาดใหญ่ และอ.บางกล่ำ จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่ดินที่นายพินิจ ซื้อร่วมกันกับน.ส.ฉัตรแก้ว เมื่อปี 2558 ขณะยังจดทะเบียนสมรส และใช้ชื่อ น.ส.ฉัตรแก้ว ภรรยา เป็นผู้ครอบครองที่ดินเพียงคนเดียว หลังจากนั้นทั้งคู่จดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2560 ต่อมานายพินิจ พบว่า เดือนพฤศจิกายน ก่อนจดทะเบียนหย่าหนึ่งเดือน น.ส.ฉัตรแก้ว นำที่ดินที่ซื้อร่วมกันในช่วงที่จดทะเบียนสมรส ถือเป็นสินสมรสที่นายพินิจ มีสิทธิ์ในที่ดินกึ่งหนึ่งนั้น โอนไปเป็นชื่อของ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ที่สำนักงานที่ดินในลักษณะทำสัญญาซื้อขายกัน และบางส่วนอ้างว่าโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อชดใช้หนี้เงินกู้ที่น.ส.ฉัตรแก้ว กู้ยืมมาจาก พ.ต.อ.สุรพงษ์ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของน.ส.ฉัตรแก้ว และพ.ต.อ.สุรพงษ์ ได้กระทำผิดร่วมกันฐานยักยอกที่ดินสินสมรส และให้การเท็จต่อพนักงานที่ดิน โดย น.ส.ฉัตรแก้ว แจ้งกับเจ้าพนักงานที่ดิน ขณะไปทำนิติกรรมว่า สถานะตัวเองเป็นโสด ทั้งที่จดทะเบียนสมรสแล้ว ศาลจึงพิพากษาจำคุก น.ส.ฉัตรแก้ว และพ.ต.อ.สุรพงษ์ดังกล่าว
ทั้งนี้ แม้ว่าคดีนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการที่ ร.ต.อ.วัชรินทร์ เบญจทศวรรษ ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต ที่หน้าบ้านพักเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2562 แต่โจทก์ในคดีนี้ คือนายพินิจ เป็น 1 ในพยานที่ตำรวจภูธรสงขลา เรียกเข้าให้ปากคำเมื่อวันที่ 27 มีนาคม เพื่อหาสาเหตุการตาย เนื่องจาก ร.ต.อ.วัชรินทร์ เข้าไปช่วยคดีที่นายพินิจถูกชุดสืบสวนจังหวัดสงขลา พาตัวไปจากหน้าศาล แล้วกักขังหน่วงเหนี่ยวที่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่งนาน 3 ชั่วโมง นอกจากกักขังหน่วงเหนี่ยว นายพินิจ ยังถูกทำร้ายร่างกายด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวนายพินิจ ได้ยื่นฟ้องตำรวจชุดดังกล่าวต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค9 และศาลรับคำฟ้องไว้ไต่สวนมูลฟ้องในปลายเดือนมกราคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.สุรพงษ์ ได้ใช้สิทธิ์ยื่นหลักทรัพย์ เพื่อประกันตัวระหว่างฏีกา ซึ่งเป็นขั้นตอนปกติ ต้องขออนุญาตศาลฎีกาก่อน แต่หากศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาทั้งสองศาลชอบแล้ว และไม่มีข้อกฎหมายต้องวินิจฉัย ศาลมีอำนาจยกคำขอ ถือว่าคดีถึงที่สิ้นสุดทันทีไม่ต้องพิจารณาในศาลฎีกา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจศาลฎีกา