จนกระทั่งเกิดเหตุเครื่องบินรุ่นเดียวกันจากสายการบินเอธิโอเปียนแอร์ไลน์ ประสบเหตุเครื่องบินตกในวันที่ 10 มี.ค. 62 ห่างจากเหตุการณ์แรกเพียง 5 เดือน และรายงานเบื้องต้นก็เผยว่าสาเหตุการณ์ตกรวมถึงสถานการณ์ก่อนที่เครื่องบินจะตกมีความคล้ายคลึงกับกรณีของไลออนแอร์ ทำให้ทุกฝ่ายพุ่งเป้าไปที่การออกแบบซอฟต์แวร์ของทางโบอิ้ง
หลังจากนั้นสายการบินทั่วโลกก็เริ่มทยอยระงับการขึ้นบินของโบอิ้ง 737 แม็กซ์ จนทางโบอิ้งต้องออกมาประกาศว่าจะมีการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่ที่จะมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม แต่ระหว่างที่เครื่องบินโบอิ้ง 737 แม็กซ์ไม่สามารถทำการขึ้นบินได้ โบอิ้งก็ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่สายการบินทั่วโลกเป็นจำนวนมหาศาล
แม้ว่าที่ผ่านมาโบอิ้งจะยังมีความหวังที่เครื่องบินรุ่นดังกล่าวจะกลับมาทำการบินได้อีกครั้ง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทางเอฟเอเอได้ออกมาแจ้งว่าจะยังไม่อนุญาตให้เครื่องบินตระกูล 737 แม็กซ์ขึ้นบินได้ตามปกติก่อนปี 2020 ทำให้ล่าสุดทางโบอิ้งจึงต้องตัดสินใจระงับการผลิตเครื่องบินรุ่นนี้ทั้งหมด
เครื่องบินในตระกูล 737 แม็กซ์ ประกอบด้วยรุ่นแม็กซ์ 7, แม็กซ์ 8, แม็กซ์ 9 และแม็กซ์ 10 เป็นเครื่องบินรุ่นที่ขายได้อย่างรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของโบอิ้งด้วยคำสั่งซื้อเกือบ 5,000 ลำจากลูกค้ากว่า 100 รายทั่วโลก แต่ปัจจุบันโบอิ้งผลิตเครื่องบินตระกูล 737 แม็กซ์ลดลงจาก 52 ลำต่อเดือนเป็นเพียง 42 ลำต่อเดือนและสั่งซื้อชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ในอัตรา 52 ยูนิตต่อเดือน แต่เมื่อยังไม่ได้รับไฟเขียวให้เครื่องบินขึ้นบินได้ โบอิ้งจึงตัดสินใจระงับการผลิตชั่วคราวแล้ว และจะรอจนกว่าได้รับอนุญาต เพื่อเร่งส่งมอบเครื่องบินราว 400 ลำที่ผลิตสต็อกไว้หลังจากถูกห้ามบิน
นับตั้งแต่เกิดวิกฤต โบอิ้งสูญเงินไปแล้วกว่า 9,000 ล้านดอลลาร์ และเมื่อเดือนก.ค.โบอิ้งยังจัดสรรเงินไว้เกือบ 5,000 ล้านดอลลาร์เพื่อชดเชยให้กับสายการบินต่างๆที่ไม่ได้สามารถรับเครื่องบินลำใหม่ หรือ ไม่สามารถใช้เครื่องบินลำที่มีอยู่ในการขึ้นบินได้
แม้ว่าจะระงับการผลิตโบอิ้ง 737 แม็กซ์ไปแล้ว แต่เมื่อเครื่องบินที่ถูกผลิตออกมารวมถึงที่อยู่ในความครอบครองของสายการบินต่างๆยังไม่ได้รับอนุญาติให้ขึ้นบิน ผู้ผลิตอากาศยานรายใหญ่ของโลกอย่างโบอิ้งก็จะยังต้องแบกรับค่าใช้จ่าย และสูญรายได้สำคัญต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าวิกฤตินี้ย่อมส่งผลกระทบอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก