สังเกตที่จำนวนหลักของยอดขายทั้ง 4 ประเทศ จะเห็นได้ชัดว่าทั้งรัสเซีย อังกฤษ และฝรั่งเศษ มียอดขายอยู่ที่หลักหมื่นล้านดอลลาร์ แต่อันดับ 1 อย่างสหรัฐกลับมียอดขายพุ่งถึงหลักแสนล้านดอลลาร์ ซึ่งยอดขายนี้ยังเพิ่มขึ้น 7.2% เมื่อเทียบกับปี 2560 ด้วย
โดยปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นยอดขายมาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่ประกาศเมื่อปี 2560 ว่าจะพัฒนาอาวุธของกองทัพสหรัฐให้ทันสมัยเหนือกว่ารัสเซียและจีนที่เป็นภัยคุกคามที่สุดสำหรับสหรัฐ
มาดูยอดขาย 10 อันดับแรกจากทั้งหมด 100 อันดับกันบ้าง จะเห็นว่าเป็นครั้งแรกที่บริษัทผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ 5 อันดับแรกอยู่ในสหรัฐทั้งหมด โดยล็อคฮีด มาร์ติน ยังเป็นบริษัทที่ครองแชมป์ผู้ผลิตอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลกมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2552
และในปี 2561 ล็อคฮีด มาร์ตินมียอดขาย 4.7 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับปี 2560 ยอดขายส่วนใหญ่มาจากคำสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่เอฟ-35 จำนวนมากจากรัฐบาลสหรัฐและอีกหลายประเทศ
ขณะที่รัสเซียมีบริษัทผลิตอาวุธเพียง 10 รายที่ติด 100 อันดับ และมียอดขายอาวุธลดลง 0.4% เมื่อเทียบกับปี 2560 โดยเป็นผลกระทบจากการเติบโตของยอดขายอาวุธของบริษัทสหรัฐและยุโรป
แต่บริษัท อัลมาซ-อันเต ของรัสเซียที่มียอดขายมากเป็นอันดับ 9 ของโลก คือ 9.6 พันล้านดอลลาร์ มียอดขายเพิ่มขึ้น 18% เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการสั่งซื้อระบบป้องกันขีปนาวุธ เอส-400
น่าเสียดายที่ตัวเลขทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ได้นับรวมถึงบริษัทผู้ผลิตอาวุธของจีน เนื่องจากทางซิปรีมีข้อมูลไม่เพียงพอ ทำให้เรายังไม่สามารถเปรียบเทียบระหว่างจีนและสหรัฐได้อย่างชัดเจน แต่ซิปรีก็คาดว่า ถ้ามีการนับรวมจีนด้วย น่าจะมีบริษัทผลิตอาวุธของจีน 7 แห่งที่จะสามารถติดอยู่ใน 100 อันดับนี้ และมี 3 รายที่จะติดอยู่ใน 10 อันดับแรก
แม้เราจะอยู่ในยุคที่หลายองค์กรรวมถึงเหล่าผู้นำประเทศต่างออกมาเน้นย้ำเรื่องการสร้างสันติภาพ แต่ยอดขายอาวุธเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่า หลายชาติยังคงให้ความสำคัญกับการครอบครองอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อยังมีเหตุการณ์ความขัดแย้งเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก