นอกจากนี้มูลค่าเฉลี่ยของสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อต่อคนเพิ่มสูงขึ้น กว่า 5,000 บาทหรือเพิ่มขึ้น เกือบ 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ขณะที่ยอดซื้อสินค้าตามร้านค้าปลีกกลับลดลง 6.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เพราะหลายคนไม่อยากอดหลับอดนอนเข้าแถวรอห้างเปิดและเบียด เสียดแย่งชิงสินค้ากันเหมือนที่ผ่านมาอีกต่อไป
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะตื่นเต้นยินดีกับมหกรรมลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์เหล่านี้ มีหลายคนที่ ไม่เห็นด้วย เพราะนี่คือการส่งเสริมให้เกิดสังคมบริโภคนิยม
โดยเฉพาะที่เป็นข่าวล่าสุดก็คือ สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ประมุขแห่งคริสตจักร โรมันคาทอลิก เทศนาเมื่อวันอาทิตย์ โดยเปรียบเทียบว่า การบริโภคนิยมเป็นไวรัสที่ ทำลายรากฐานความศรัทธาของศาสนิกชน ทำให้พวกเขาลืมนึกถึงการช่วยเหลือคนจน คนตกทุกข์ได้ยาก เพราะทำให้ทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง นึกถึงสิ่งที่อยากได้อยากมี
นอกจากนี้ก็มีนักสิ่งแวดล้อมที่ออกมารวมตัวประท้วงในหลายเมืองทั่วโลก เพื่อต่อต้าน เทศกาลลดราคาสินค้า โดยเฉพาะแบล็ก ฟรายเดย์ พร้อมกับเรียกร้องให้ทุกคนหยุดซื้อ หยุดบริโภคเกินความจำเป็น ผู้ประท้วงบางกลุ่มถึงกับรวมตัวกันปิดกั้นบริเวณหน้าห้าง สรรพสินค้า มีการถือป้ายที่มีข้อความเชื่อมโยงว่า "บริโภคนิยม เท่ากับวิกฤติโลกร้อน"
ซึ่งถ้าถามว่า "บริโภคนิยม เท่ากับวิกฤติโลกร้อน" จริงไหม เรื่องนี้ถือว่ามีส่วนสูง เพราะคำ สั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก ก็หมายถึงกล่องพัสดุมหาศาลที่จะกลายเป็นขยะ ยกตัวอย่างสถิติ วันคนโสดเมื่อปีที่แล้ว เฉพาะในจีน มีขยะจากการบรรจุหีบห่อสินค้าต่างๆ อย่างโฟม พลาสติก หรือ เทปกาว ในวันคนโสดวันเดียว มีขยะมากถึงเกือบ 3 แสนตัน เทียบเท่ากับ ขวดน้ำพลาสติกหลายพันล้านขวด
แต่แม้จะถูกมองเป็นสังคมบริโภคนิยมบ้าง มองว่าก่อวิกฤติโลกร้อนบ้าง แต่เทศกาลลด ราคาเหล่านี้ไม่น่าจะยุติไปง่ายๆ เมื่อทั้งร้านค้าและแบรนด์สินค้าต่างก็ต้องการเพิ่มยอดขาย ส่วนลูกค้าอย่างเราๆเองต่างก็ต้องการซื้อสินค้าในราคาที่ถูกกว่าปกติ โดยเฉพาะในยุคที่ การซื้อขายง่ายแค่เพียงคลิกนิ้วมือ ปัญหาที่เกิดจากการบริโภคสินค้าจำนวนมหาศาล ก็ยัง เป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงและหาทางออกกันต่อไป