นพ.คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ อดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กผ่านแฟนเพจหมอเอ้ก คณวัฒน์ จันทรลาวัณย์ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ มีคนไข้หัวร้อนใช้มีดแทงคอหมอ ในโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง จ.ขอนแก่น ชี้ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ให้ความยุติธรรมกับหมอ จี้ภาครัฐ-สาธารณสุข ต้องช่วยกันรับผิดชอบ แนะสื่อมวลชนอย่านำเสนอเชิงชี้นำ พร้อมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญ จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำอีก โดยในโพสต์ระบุว่า...
(ความเห็นส่วนตัวต่อกรณีที่มีการทำร้ายบุคลากรทางการแพทย์)
หนึ่งในเหตุผลของการดำรงอยู่ของรัฐ คือ เพื่ออำนวยความปลอดภัยและความมั่นคงแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้ที่ถูกปกครองโดยรัฐ หาไม่เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีรัฐ อาจจะนึกถึงสมัยอาณานิคมของสหรัฐ ต้องพึ่งตัวเอง ที่บ้านต้องพกปืนไว้เพื่อป้องกันตัวเอง
ในกรณีนี้ รัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงจะต้องดำเนินการตามช่องทางของกฎหมายให้ถึงที่สุด
คนที่ผมเคยพบเจอที่ประสงค์ทำร้ายไม่ว่าด้วยทางกายภาพก็ดี หรือ วาจาก็ดี มักแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. ผู้ที่มีสติสัมปชัญญะดี แต่คิดว่าตนมีสิทธิในการกระทำ โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นการละเมิดสิทธิอันพึงมีของผู้อื่น การกระทำลักษณะนี้ อาจจะใช้ช่องทางต่างๆในการเตือนเพื่อให้คนเหล่านี้ได้ทราบ แต่หากทราบแล้วและยังกระทำอีกก็ควรดำเนินการให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
2. ผู้ที่จิตไม่สมประกอบ ดังเช่นในกรณีนี้ที่พยายามอ้างถึงนั้น ยิ่งต้องรีบดำเนินการโดยเร็วโดยไม่รีรอ เพื่อให้ญาติหรือเจ้าหน้าที่ๆเกี่ยวข้องได้เข้ามาดูแล เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับผู้อื่นในสังคมอีก
คราวนี้หากพิจารณาในบริบทของชีวิตจริงและกระแสสังคมไทย หน้างานจริง (เพิ่มความเห็นส่วนตัวมากขึ้นไปอีก)
1. สื่อไม่ควรเขียนชี้นำ ว่าผู้ก่อเหตุคิดว่าตนเองเป็นลูกเทพ ทั้งๆที่ทราบมาเพียงว่า "เล่ากันปากต่อปาก.." สื่อระดับประเทศไม่สมควรที่จะอ้างอิงเหมือนกับเพจก๊อซซิปออนไลน์ เพราะว่า จะก่อให้เกิดกระแสสังคม เนื่องด้วยบริบทของคนไทยนั้นชอบเห็นใจผู้อื่น (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ในการมีน้ำใจโอบอ้อมอารี) เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ควรชี้นำกระแสสังคม ก่อนการวินิจฉัยทางการแพทย์จริงว่าผู้ก่อเหตุมีจิตไม่สมประกอบ ซึ่งผู้ก่อเหตุสามารถที่จะใช้สิทธิในการให้การว่าจิตไม่สมประกอบได้อยู่แล้วในการให้การ
2. เราพูดถึงเสมอถึงการอยากได้รับการบริบาลจากเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในรพ.รัฐที่ดีขึ้น แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อบุคลากรเหล่านี้เค้ายังรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตของเค้าอยู่เลย (ยังไม่ต้องไปพูดถึงค่าตอบแทน ตำแหน่ง การจำกัดชั่วโมงการทำงาน หรือสวัสดิการต่างๆด้วยซ้ำ) การเยียวยา การให้บุคลากรผู้ประสบกับเหตุการณ์นี้ได้พัก เป็นเพียงการแก้ปัญหาระยะสั้น มาตรการระยะยาวควรจะต้องมีการระดมสมองกันอย่างจริงจังได้แล้ว
3. เราอาจจะได้เห็นความคิดเห็นที่โกรธ ไม่พอใจ และให้ทำร้ายร่างกายผู้ที่ทำร้ายบุคลากร ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องระวัง เพราะ หากเราทำเช่นนั้น เราจะต่างอะไรจากผู้ก่อเหตุ นี่จึงเป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของรัฐที่ต้องเข้ามาจัดการ การใช้วิธีแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน นั้นอาจจะไม่สามารถนำไปสู่ทางออกที่ยั่งยืนได้ อย่างที่เราได้เห็นมาตลอดทั้งในเรื่องเล็กๆ หรือการเมืองระดับประเทศ
แนวทางดำเนินการ:
- สธ.(หน่วยงานกลาง) ต้องดำเนินการตามกฎหมายด้วยความรวดเร็วและเด็ดขาด
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/857789
- สธ.(รพ.ต้นสังกัด) ต้องเยียวยาบุคลากร(ซึ่งได้ข่าวว่าได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว) รวมถึงให้ความคุ้มครองต่อบุคลากร เพราะ เราไม่สามารถทราบได้เลยว่าหลังเกิดเหตุการณ์และมีการดำเนินการทางกฎหมายแล้วจะมีการมาคุกคามอีกหรือไม่
- นอกจากสธ.แล้ว หน่วยงานที่เปรียบเสมือน union ของบุคลากรทางการแพทย์ เช่น แพทยสภา แพทยสมาคม (ซึ่งมีพันธกิจคล้ายๆกัน คือ ส่งเสริมสวัสดิภาพของสมาชิก) อาจจะต้องเป็นตัวแทนของน้องหมอคนนี้ในการต่อสู้ หรืออาจจะต้องเป็นโจทก์ร่วมในการฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของน้องหมอคนนี้ด้วยครับ
#zerotolerance
"
โพสต์ต้นฉบับ