ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ประชุมเป็นประจำ ซึ่งวันนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องติดตามคือเรื่องของการปล่อยเงินกู้ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ปมการปล่อยเงินกู้ให้กับพรรคฯ จำนวน 191 ล้านบาท และการขาดคุณสมบัติของ นายธนิก มาสีพิทักษ์ ผู้สมัครหมายเลข 1 พรรคเพื่อไทย มีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครเนื่องจากมีชื่อเป็นผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ที่ต้องจับตาดูว่า 2 เรื่องนี้จะเข้าสู่ที่ประชุมหรือไม่
การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันนี้คาดว่าจะมีวาระการพิจารณาคดีกู้เงิน นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จำนวน 191 ล้านบาท ที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยยื่นคำร้อง โดยมีรายงานว่า กกต.ได้ตั้งประเด็นตามคำร้อง 2 ประเด็น คือ 1. การกู้เงิน ถือเป็นการบริจาคของบุคคลเกินกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ กับประเด็นที่ 2. การกู้เงิน ถือว่าเป็นเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และเข้าข่ายเป็นนิติกรรมอำพรางหรือไม่ เพราะเมื่อพิจารณาข้อกฎหมาย มาตรา 62 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งไม่เปิดโอกาสให้พรรค การเมืองกู้ยืมเงิน มาดำเนินกิจการพรรคการเมืองได้ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 50 ที่จะกำหนดให้พรรคสามารถมีรายได้อื่น และพรรคการเมืองในขณะนั้น ก็มีการกู้เงิน และนำมาลงบัญชีในหมวดรายได้อื่น หากบอกว่าเป็นเงินบริจาค ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บริจาคได้เพียง 10 ล้านบาท หากจะบอกว่าที่เหลือเป็นการบริจาคเกินคงไม่สามารถทำได้
ด้าน นายชูวิทย์ กมลวิศิศฎ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงกรณีดังกล่าว ระบุว่า...นิติกรรมอำพราง เจ้าหนี้ ลูกหนี้
มีหลายคนถามความเห็นผม เรื่องคุณธนาธรให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงิน
ในฐานะที่ผมเคยเป็นหัวหน้าพรรค จัดตั้งพรรคเองเหมือนคุณธนาธร เข้าใจดีว่าการดำเนินการพรรคการเมืองจะต้องใช้ทุนจำนวนมากเพื่อสานต่ออุดมการณ์ พรรคเล็กมีทุนน้อย ใครจะมาอยู่ด้วย หากมีอุดมการณ์ แล้วไม่ได้เป็น ส.ส. เป็นธรรมชาติการเมืองไทย
การจะเป็น ส.ส. ได้ต้องเดินด้วยเงินทุน ยิ่งโดยเฉพาะเวลาหาเสียง ไหนจะค่าป้าย ค่ารถหาเสียง ค่าทีมงาน ค่าเดินทาง ค่าใช้จ่ายของลูกพรรค ค่าเช่าสำนักงาน จิปาถะ อย่างผมแม้แต่บุหรี่ยังต้องซื้อให้ลูกพรรค
แต่การ "กู้ยืมเงิน" นั้น มีความแตกต่างกันระหว่าง "พรรคการเมือง" กับ" บริษัท" เพราะ
1. บริษัททำธุรกิจการค้าหากำไร เมื่อไปกู้เงินใครก็ต้องใช้คืน บวกดอกเบี้ยด้วย หากบริษัทขาดทุน ไม่มีเงินชดใช้ ก็จะต้องถูกฟ้องร้องเพื่อเรียกเงินคืน
2. พรรคการเมืองนั้นเป็นงานอาสาทำเพื่อบ้านเมือง ไม่ได้หวังกำไรเป็นตัวเงิน แต่กำไรคือประโยชน์ของประเทศชาติ เมื่อพรรคการเมืองกู้เงินจึงไม่รู้ว่าจะเอากำไรที่ไหนไปคืนคนที่ให้ยืมเงินมา
3. ที่สำคัญคือ คนให้กู้ดันเป็นหัวหน้าพรรคเสียเอง หากให้กู้แล้วไม่มีเงินคืน จะไปฟ้องร้องพรรคที่ตัวเองเป็นหัวหน้าได้หรือ?
ไม่มีใครที่ให้กู้เงินไปแล้วไม่หวังจะได้เงินคืน
และเมื่อให้กู้ยืมไปแล้วก็ต้องมีความเกรงอกเกรงใจกัน อย่างชาวบ้านทั่วไป หากไปยืมเงินใคร ความเป็นลูกหนี้ก็ต้องเกรงใจเจ้าหนี้เป็นของธรรมดา หรือที่เรียกว่าเป็น "หนี้บุญคุณ"
หากเป็นบริษัทถ้าไม่มีเงินจ่ายคืนเงินกู้ ก็ยึดหุ้นเข้ามาบริหารกิจการเอง เข้าครอบงำบริษัท หรือตั้งนอมินีมาบริหารงาน
แต่เมื่อเป็นพรรคการเมือง หากไม่มีเงินคืนแล้วคุณธนาธรจะทำยังไง?
เงินให้กู้เป็นร้อยๆ ล้าน แล้วไม่มีคืน ก็หยวนๆ ไป อย่างนี้คงไม่มี
เรื่องนี้ กกต. คงต้องส่งให้ศาลพิจารณาอีก
นึกๆ แล้ว คุณธราธรคงชินกับการทำธุรกิจการค้า
เพราะเวลาไปบอกว่าให้ใครกู้เงิน สถานะความเป็น "เจ้าหนี้" มันดีกว่า ไม่มีใครเขาจะคุยว่าตัวเองเป็น "ลูกหนี้"
แต่พอคุณธนาธรเอาไปพูดในสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่าตัวเองเป็นเจ้าหนี้ให้พรรคกู้เงิน จึงเป็นเรื่องเป็นราว
งานนี้ คุณธนาธรคงไม่รอดอีกตามเคย แม้อุดมการณ์แรงกล้า แต่ต้องมาตกม้าตาย
เป็นฝ่ายค้านมันชีช้ำอย่างนี้ล่ะครับ สู้เป็นรัฐบาลไม่ได้ ผิดมันก็เป็นถูกได้หน้าตาเฉย