ทั้งนี้ จุดประสงค์หลักของการจัดทำไกด์ไลน์ในธุรกิจแฟรนไชส์ฉบับนี้คือ เพื่อจัดระบบการค้าให้มีธรรมาภิบาลและมีหลักปฏิบัติที่ชัดเจนในการสร้างบรรทัดฐานการปฏิบัติทางการค้าให้ถูกต้องซึ่งจะช่วยยกระดับธุรกิจแฟรนไชส์ให้เป็นระบบและมาตรฐานสากลอันจะเป็นการพัฒนาระบบการค้าในธุรกิจแฟรนไชส์ให้มีความเข้มแข็งและเกิดประสิทธิภาพต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศต่อไปโดยไกด์ไลน์ในธุรกิจแฟรนไชส์ฉบับนี้ได้กำหนดพฤติกรรมที่เป็นข้อห้ามและอาจเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา57 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2560 ไว้ดังนี้
1. การกำหนดเงื่อนไขที่จํากัดสิทธิแฟรนไชส์ซีโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เช่นให้แฟรนไชส์ซีต้องซื้อสินค้าที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าแฟรนไชส์หรือต้องซื้อวัตถุดิบในปริมาณที่สูงกว่าความต้องการใช้จริง 2. การกำหนดเงื่อนไขเพิ่มเติมหลังทำสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เช่น ให้แฟรนไชส์ซีซื้อสินค้านอกเหนือจากที่กำหนดไว้ 3.การห้ามแฟรนไชส์ซีซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิตผู้จำหน่ายหรือผู้ให้บริการรายอื่น โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร 4.การห้ามแฟรนไชส์ซีขายลดราคาสินค้าที่เน่าเสียง่าย โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร 5.การกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกันระหว่างแฟรนไชส์ซี โดยไม่มีเหตุผลอันสมควรและนำไปสู่การเลือกปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม 6.การกำหนดเงื่อนไขที่ไม่เหมาะสมอื่น ๆ นอกเหนือจากการรักษาคุณภาพและมาตรฐานตามสัญญา
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมแฟรนไชส์ซอร์ต้องเปิดเผยข้อมูลที่สำคัญให้แก่แฟรนไชส์ซีทราบก่อนตัดสินใจทำสัญญาเช่น ข้อมูลเกี่ยวกับค่าตอบแทนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจแผนการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ สิทธิในเครื่องหมายการค้า และการต่อ แก้ไข ยกเลิกสัญญารวมทั้ง ในกรณีที่แฟรนไชส์ซอร์ จะเปิดสาขาใหม่เองนั้น จะต้องแจ้้งแฟรนไชส์ชีที่มีสาขาอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงที่สุดทราบและให้สิทธิในการเปิดสาขาใหม่แก่แฟรนไชส์ซีรายนั้นก่อน
นายสันติชัย ได้กล่าวอีกว่า การออกประกาศฉบับนี้ถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.)ในการกำกับดูแลการประกอบธุรกิจให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายและขอเน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องควรศึกษาแนวทางการพิจารณาการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมในธุรกิจแฟรนไชส์ให้เข้่าใจอย่างถ่องแท้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทำผิดมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้าพ.ศ. 2560 ซึ่งมีกำหนดโทษปรับทางปกครองในอัตราไม่เกิน 10%ของรายได้ในปีที่กระทำความผิด