"กรมฯจะนำรายชื่อนิติบุคคลที่มีอยู่ในระบบ 1.6 ล้านชื่อ ซึ่งมีการจดไว้เดิมกับชื่อที่เป็นชื่อต้องห้าม เช่น ชื่อกระทรวง ทบวง กรม ชื่อที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เอาไปใส่ไว้ในระบบ จากนั้น เมื่อมีผู้มายื่นขอจองชื่อระบบก็จะทำการตรวจสอบทันทีว่าชื่อซ้ำหรือไม่ซ้ำและตรงกับชื่อที่ต้องห้ามนำมาใช้จดทะเบียนหรือไม่ ถ้าไม่ ก็อนุมัติให้นำไปใช้ได้โดยปกติในแต่ละปี จะมีคนเข้ามาจองชื่อประมาณปีละ 3 แสนราย และนำไปใช้จดทะเบียนจริง7-8 หมื่นราย"นายพูนพงษ์กล่าว
ทั้งนี้กรมฯ ยังได้ทำการเชื่อมโยงข้อมูลนิติบุคคลกับหน่วยงานภาครัฐต่างๆ มีเป้าหมายจำนวน382 หน่วยงาน โดยได้ทำการเชื่อมโยงไปแล้ว 118 หน่วยงาน ทำให้หน่วยงานต่างๆสามารถนำข้อมูลนิติบุคคลไปใช้สนับสนุนการทำงานได้แม่นย้ำขึ้น เช่นหากบุคคลมีการซื้อขายที่ดินกับบริษัทกรมที่ดินก็สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้แทนบริษัทคือใครเป็นกรรมการผู้มีอำนาจจริงหรือไม่ หรือกรณีหน่วยงานที่ตรวจสอบ หากมีการฉ้อโกงก็สามารถตรวจได้ว่าบริษัทที่กระทำผิด มีใครเป็นกรรมการ เป็นต้น
นอกจากนี้ยังได้เพิ่มความเข้มงวดในการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลโดยได้ขอความร่วมมือไปยังสภาทนายความ เนติบัญฑิตยสภาและสภาวิชาชีพบัญชีให้กำกับดูแลทนายความ ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และผู้ทำบัญชีให้กำชับผู้ประกอบวิชาชีพที่เป็นผู้รับรองผู้ขอจดทะเบียน ให้ผู้ขอจดทะเบียนลงลายมือชื่อต่อหน้าเท่านั้นเพื่อป้องกันความเสียหายต่อประชาชน ลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นทางธุรกิจและป้องกันการสวมรอยเป็นบุคคลอื่นมายื่นจดทะเบียน
"การลงลายมือชื่อของผู้ขอจดทะเบียนที่ได้รับการรับรองจากบุคคลที่กรมฯ กำหนดไว้ กรมฯ จะถือว่าลายมือชื่อนั้นถูกต้องโดยนายทะเบียนไม่ต้องมาตรวจสอบซ้ำอีก และการไม่ลงลายมือชื่อต่อหน้าอาจทำให้เกิดกรณีปลอมแปลงลายชื่อชื่อ หรือใช้ชื่อบุคคลอื่นยื่นขอจดทะเบียนซึ่งเป็นการทำผิดกฎหมาย และเป็นเหตุให้คำขอจดทะเบียนอาจถูกเพิกถอนได้และผู้ที่มีหน้าที่รับรองอย่างทนายความ ผู้สอบบัญชีก็จะมีความผิดฐานสนับสนุนให้ผู้อื่นทำความผิดและแจ้งความเท็จมีโทษทั้งจำคุกและปรับ และกรมฯ จะแจ้งต่อสภาที่ดูแลเพื่อให้ดำเนินการลงโทษด้วย"นายพูนพงษ์กล่าว