เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในมติสำคัญเช่นนี้จะมีการใช้เสียงเพิ่มเติมที่ไม่ใช่จากเสียงฝ่ายตัวเอง นายปิยบุตร กล่าวว่า ในระยะหลังตนเข้าใจว่าสื่อมวลชนพยายามจับตาดูว่าพรรคไหนมีคนโหวตสวนมติพรรค แต่ผมอยากจะชี้ชวนให้มองมุมกลับคือให้จับตาผู้เสนอ การเสนอให้นี้หากจับได้แล้วนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนก็จะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองไทย จับตาดูว่ามีการเสนอนัดคุยในสภา หรือโรงแรมไหน เพราะการเสนอแบบนี้เป็นการทำลายระบบรัฐสภาประเทศไทย ยังไม่รวมไปถึงว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นในทุกสัปดาห์ที่มีมติสำคัญๆ ซึ่งก็มาจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญแบบนี้ ที่ให้ส.ว. 250 คน มาโหวตเลือกนายกฯ ได้ เป็นผลพวงโดยตรงที่พล.อ.ประยุทธ์อยากสืบทอดอำนาจ ผมดูแล้วจะเอาการเมืองไทยย้อนกลับไปจอมพลถนอมตั้งพรรคสหประชาไทย ปีนี้ 2562 แล้ว จึงอยากให้สื่อมวลชนจับตาดูว่าใครกันแน่ที่ดึงเมืองไทยถอยหลังเข้าคลอง
ทั้งนี้ ในสัปดาห์หน้า ตนจะนำเรื่องเข้าสู่คณะกมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุยชนที่ตนเป็นประธาน เพื่อพิจารณาคำสั่งตามมาตรา 44 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการตั้งคณะอนุกมธ. ศึกษาเอาไว้แล้ว โดยจะครอบคลุมไปถึง พ.ร.บ.บางฉบับที่ออกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ด้วย อย่างไรก็ตามการตรวจสอบจะไม่ได้เน้นไปที่ตัวบุคคล แต่จะดูผลกระทบของมาตรา 44 ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก ซึ่งคิดว่าคงไม่ถึงขั้นที่จะต้องใช้ พ.ร.บ.คำสั่งเรียกของกมธ. เพื่อเรียกบุคคลมาชี้แจงแต่อย่างใด
นายปิยบุตร กล่าวอีกว่า จากมติสภาที่เกิดขึ้นทำให้ตนมีความเป็นห่วงว่าอาจจะมีผลกระทบต่อญัตติการตั้ง กมธ.ศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สภาจะพิจารณาในสัปดาห์หน้า เนื่องจากในการประชุมสภาวันนี้ ตนและฝ่ายค้านบางส่วนได้มีการเตรียมข้อมูลที่จะอภิปรายในญัตติดังกล่าวต่อจากเรื่องมาตรา 44 แต่ปรากฏว่าวิปรัฐบาล และรองประธานสภาได้มีการปิดประชุมอย่างกะทันหัน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาสิ้นสุดการประชุมในเวลา 21.00 น. แต่กลับมีการปิดประชุมในเวลา 19.00 น. แทน จากตรงนี้ทำให้มีข้อสงสัยและน่าคิดว่าเมื่อถึงการพิจารณาญัตติดังกล่าวในสัปดาห์หน้าจะมีเรื่องใดมาแทรก จนทำให้ต้องเลื่อนญัตติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นสังคมก็ควรจะต้องตั้งคำถามต่อฝ่ายรัฐบาล