svasdssvasds
เนชั่นทีวี

พระราชสำนัก

พระราชประวัติ ในหลวงรัชกาลที่ 9

02 ธันวาคม 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

พระราชประวัติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2470

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่เก้าแห่งราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 จึงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้เสวยราชย์นานที่สุดในโลก และยาวนานที่สุดในประเทศไทยครั้งทรงพระเยาว์
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดลอันเป็นสายหนึ่งในราชวงศ์จักรี ณ โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น 12 ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช 1289 ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ด้วยขณะนั้นสมเด็จพระบรมราชชนกและสมเด็จพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่สหรัฐอเมริกาทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สาม ในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ในกาลต่อมา)และหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา(สกุลเดิมตะละภัฏ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีในกาลต่อมา) มีพระนามเมื่อแรกประสูติอันปรากฏในสูติบัตรว่า เบบีสงขลา (อังกฤษ: Baby Songkla) ต่อมาได้รับพระราชทานพระนามว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงออกพระนามเรียกพระองค์เป็นการลำลองว่า "เล็ก" ทรงมีสมเด็จพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช 2 พระองค์คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลพระนาม ภูมิพลอดุลเดช นั้น สมเด็จพระบรมราชชนนีได้รับพระราชทานทางโทรเลขจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2470 โดยทรงกำกับตัวสะกดเป็นอักษรโรมันว่า "Bhumibala Aduladeja" ทำให้สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเข้าพระทัยว่าได้รับพระราชทานนามพระโอรสว่า "ภูมิบาล" ในระยะแรกพระนามของพระองค์สะกดเป็นภาษาไทยว่า "ภูมิพลอดุลเดช" ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเขียนว่า "ภูมิพลอดุลยเดช" โดยทรงเขียนทั้งสองแบบสลับกันไปจนมาทรงนิยมใช้แบบหลังซึ่งมีตัว "ย" ตราบปัจจุบันเมื่อพ.ศ.2471 ได้เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทยพร้อมสมเด็จพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ 24 กันยายน 2472 สมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมพรรษาไม่ถึง 2 พรรษาการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย เมื่อทรงพระชนมพรรษาได้ 4 พรรษา ครูประจำชั้นของพระองค์เป็นนางชีคาทอลิกคณะอุรุสิลิน(เซนต์เออร์ชูล่า) ชื่อ ซิสเตอร์มารี เซเวียร์ กล่าวไว้ว่า "ฉันจะไม่มีวันลืมเจ้านายพระองค์น้อยที่เฉลียวฉลาดและทรงมีจิตใจดีอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งเสด็จมาทรงเข้าชั้นเรียนร่วมกับเด็กๆ ชาวไทยคนอื่นเลย แม้วันแรกๆ ที่เสด็จมาโรงเรียนยังสังเกตเห็นได้ว่า ทรงมีพรสวรรค์ทางดนตรี แต่ก็ทรงเรียนวิชาอื่นๆ อย่างสบาย ทรงกระตือรือร้นสนพระทัยและเอาพระทัยใส่ในทุกสิ่งรอบพระองค์"จนถึงเดือนพฤษภาคม 2476 จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ.2477 เป็นเวลา 2 ปี ก่อนที่จะทรงเข้าศึกษาที่โรงเรียนแห่งใหม่ ณ เมืองไชยี โดยทรงเป็นนักเรียนไปมาก่อนในตอนแรก แล้วจึงทรงเป็นนักเรียนประจำที่ได้กลับบ้านเสาร์อาทิตย์ ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวอยู่ใกล้เมืองโลซาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาของทวีปยุโรปที่ทรงถนัดที่สุด ส่วนภาษาอังกฤษนั้นทรงเรียนในภายหลังต่อมา สำหรับภาษาไทยทรงมีพระอาจารย์ถวายการสอนเป็นพิเศษที่ที่ประทับ ขณะพระชนมพรรษา 8 พรรษา ทรงได้รับอนุญาตให้ทรงจักรยานไปโรงเรียนและทรงเรียนดนตรีได้ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงเล่าว่า "ทรงมีพระกระแสเสียงใสมาก"จากนั้นทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศสภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษา ณ "โรงเรียนแห่งใหม่ของซืออีสโรมองด์" (ฝรั่งเศส: cole Nouvelle de la Suisse Romande,เอกอลนูแวลเดอลาซืออีสโรมองด์) เมืองแชลลี-ซูร์-โลซาน (ฝรั่งเศส: Chailly-sur-Lausanne)


สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์
เมื่อพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี พระองค์ก็ได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น "สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดช" เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2478"ข้าพเจ้าจากประเทศไทยไปเกือบเจ็ดปีเต็ม ข้าพเจ้าแทบจะวาดภาพไม่ออกเลยว่าประเทศและผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 รับสั่งภายหลังเดือนพฤศจิกายน 2481 ได้โดยเสด็จสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นเวลา 2 เดือนโดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต สมเด็จพระอนุชา(พระอิสริยยศช่วงนั้น) เสด็จฯ ไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จฯ เยือนสำเพ็งย่านธุรกิจของคนจีน สมเด็จฯ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลเดชก็โดยเสด็จด้วย และทรงทำหน้าที่ช่างภาพถวาย
เหตุร้ายไม่คาดฝัน
อีกไม่กี่วันที่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับสวิตเซอร์แลนด์ แต่หมายกำหนดการนั้นต้องเลื่อนออกไปเมื่อสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จสวรรคต รัฐสภาลงมติเป็นเอกฉันท์กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นครองราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไปเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จะเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ได้มีพระราชดำรัสอำลาประชาชนทางวิทยุกระจายเสียงว่า"ข้าพเจ้ามีความจำเป็นที่จะต้องจากประเทศไทยและพวกท่านทั้งหลายเพื่อไปศึกษาต่อให้มีความรู้ด้านใหม่"
จากนั้นเสด็จพระราชดำเนินกลับไปทรงศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ จนถึงพ.ศ.2488 ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์จากโรงเรียนยิมนาสคลาซีคกังโตนาล แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซานแต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ไปเป็นสาขาสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์พระราชินีเฝ้าไข้ใกล้ชิด
หลังจากทรงสำเร็จการศึกษาจากสวิตเซอร์แลนด์ พระองค์เสด็จฯ เยือนกรุงปารีสทรงพบกับม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งเป็นธิดาของเอกอัครราชทูตไทยประจำฝรั่งเศสเป็นครั้งแรก ในขณะนั้นทั้งสองพระองค์มีพระชนมพรรษา 21 พรรษา และ 15 พรรษา ตามลำดับ
เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2491 ในระหว่างประทับอยู่ต่างประเทศ ขณะที่พระองค์ทรงรถยนต์พระที่นั่งเฟียสทอปอลิโนจากเจนีวาไปยังโลซาน ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ กล่าวคือรถยนต์พระที่นั่งชนกับรถบรรทุกอย่างแรง ทำให้พระเนตรขวาได้รับบาดเจ็บม.ร.ว.สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ เยี่ยมพระอาการเป็นประจำจนกระทั่งหายจากพระอาการประชวรอันเป็นเหตุทำให้ทั้งสองพระองค์ทรงใกล้ชิดกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทรงหมั้นและทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในวันคล้ายวันเกิดอายุ 17 ปี ของ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ในวันที่ 12 สิงหาคม 2492 ณ สถานทูตไทย กรุงลอนดอน ซึ่งพระบิดาของพระคู่หมั้นทรงเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ในขณะนั้น และเสด็จนิวัตพระนครในปีถัดมาโดยประทับ ณพระที่นั่งอัมพรสถานต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2493 โปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวีพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ภายในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์


พระราชพิธีราชาภิเษก
เดิมทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งพระราชหฤทัยว่าจะทรงครองราชสมบัติแต่ในช่วงการจัดงานพระบรมศพของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเท่านั้นเพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ก็ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนว่า "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน" จึงทรงนึกตอบในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้" ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักในหน้าที่พระมหากษัตริย์ของพระองค์ดังที่ได้รับสั่งตอบชายคนนั้นในอีก 20 ปีต่อมาวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณเฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดีจักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราชบรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"ในโอกาสนี้มีพระราชดำริว่าตามโบราณราชประเพณีเมื่อสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติบรมราชาภิเษกแล้วย่อมโปรดให้สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระอัครมเหสีขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินี ดังนั้นพระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดา 4 พระองค์ ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ นครโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2494 ต่อมาทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ ปัจจุบันทรงพระนามว่า ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2495 ต่อมาทรงได้รับการสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2498 ทรงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2500
ทรงพระผนวช
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ที่จะทรงพระผนวชในบวรพระพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี เป็นเวลา 15 วัน ระหว่างวันที่ 22 ตุลาคม5 พฤศจิกายน 2499 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงได้รับฉายาว่า ภูมิพโลภิกขุ หลังจากนั้นเสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ทรงพระผนวชนั้นทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคมปีเดียวกันระหว่างที่ทรงดำรงสมณเพศพระภิกษุ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิบัติพระราชกิจเช่นเดียวกับพระภิกษุทั้งหลายอย่างเคร่งครัด เช่น เสด็จลงพระอุโบสถทรงทำวัตรเช้าเย็น ตลอดจนทรงสดับพระธรรมและพระวินัย นอกจากนี้ยังได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพิเศษอื่นๆ

logoline