ความตกลงอาร์เซ็ปยังสร้างความเชื่อมโยงระหว่างห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคโดยกำหนดให้มีเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้าเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rulesหรือ PSRs)ครบทุกรายการสินค้า(5,205 รายการ)เพื่อให้มีความสอดคล้องกับรูปแบบการค้าระหว่างประเทศและกระบวนการผลิตของสินค้าในปัจจุบันซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถเข้าถึงวัตถุดิบจากแหล่งต่างๆ มากขึ้นทำให้เกิดความเหมาะสมในด้านต้นทุนและคุณภาพสินค้าโดยเฉพาะในสินค้าอุตสาหกรรมประเภทต่างๆที่พึ่งพาวัตถุดิบจากภายนอกภูมิภาคมาใช้ในการผลิต เช่น เครื่องประดับทองอาหารแปรรูป น้ำผลไม้ เคมีภัณฑ์และพลาสติก เป็นต้นส่วนสินค้าบางรายการที่ใช้วัตถุดิบในภูมิภาคอยู่แล้ว โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่นสินค้าสัตว์มีชีวิต น้ำตาลที่ทำจากอ้อย และน้ำมันปาล์มซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยให้ความสำคัญก็จะเน้นให้ใช้วัตถุดิบในภูมิภาคในสัดส่วนที่สูงจึงถือว่ากฎระเบียบใหม่ดังกล่าวจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ผลิตของไทยเนื่องจากจะสามารถเลือกใช้กระบวนการผลิตและ/หรือวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่หลากหลายได้สอดคล้องกับความต้องการของไทยในภาพรวม
นางอรมน กล่าวว่าในส่วนของอินเดียซึ่งยังมีประเด็นคงค้างที่จะต้องเจรจาต่อนั้นสมาชิกอาร์เซ็ปจะทำงานร่วมกันเพื่อหาข้อยุติในประเด็นคงค้างของอินเดียต่อไปทั้งนี้ แม้อินเดียจะยังไม่เข้าร่วมปิดดีลความตกลงอาร์เซ็ปในขั้นนี้แต่ความตกลงอาร์เซ็ปที่มีสมาชิก 15 ประเทศยังคงเป็นความตกลงการค้าเสรีฉบับใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากมีประชากรรวมกันกว่า2,200 ล้านคน หรือประมาณร้อยละ 30 ของประชากรโลก มีมูลค่า GDP กว่า 24.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณร้อยละ28.96 ของ GDP โลกและมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 10.7 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นร้อยละ 27.22ของมูลค่าการค้าโลก