ทั้งนี้ สินค้าที่อยู่ในขอบเขตการศึกษาประกอบด้วย8 กลุ่มสินค้า ได้แก่ 1. ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้า 2. ผลิตภัณฑ์สำหรับผม 3. ผลิตภัณฑ์ใช้ดับกลิ่นตัว4. น้ำหอม 5. ของผสมของสารที่มีกลิ่นหอม 6. สบู่ 7. เอสเซนเชียลออยล์ และ 8.ผลิตภัณฑ์ใช้ในช่องปากหรือฟัน ส่วนแหล่งนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางที่สำคัญของจีนคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ การนำเข้าจาก 4 ประเทศมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 75 ของการนำเข้าเครื่องสำอางทั้งหมดของจีนสะท้อนว่าจีนมีการกระจุกตัวของแหล่งนำเข้าค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาความนิยมการนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางของจีนพบว่ามีการนำเข้าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้า มากที่สุด คิดเป็นมูลค่า 9,690.14ล้านดอลลาร์ มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 80ของการนำเข้าเครื่องสำอางของจีน ขยายตัวร้อยละ 33.6ซึ่งชาวจีนนิยมแบรนด์พรีเมี่ยมจากต่างประเทศ รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์สำหรับผมมีมูลค่าการนำเข้า 529.89 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 37.7โดยนำเข้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มากที่สุด
สำหรับมณฑลหลักที่จีนนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางกระจุกตัวใน3 มณฑล คือ เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง และเจ้อเจียง คิดเป็นร้อยละ 72.1ของการนำเข้าเครื่องสำอางทั้งหมด ดังนี้ เซี่ยงไฮ้ มีการนำเข้า 5,497.24ล้านดอลลาร์ (สัดส่วนนำเข้าร้อยละ 43.2 ขยายตัวร้อยละ 54.4)ปัจจัยหลักมาจากรายได้สูงและมีประชากรวัยรุ่นและวัยทำงานมากถึง 18.2 ล้านคนรองลงมา คือ กวางตุ้ง มีการนำเข้า 2,055 ล้านดอลลาร์ (สัดส่วนนำเข้าร้อยละ 16.2ขยายตัวร้อยละ 126.2) และ เจ้อเจียง นำเข้า 1,608.4 ล้านดอลลาร์ (สัดส่วนนำเข้าร้อยละ12.7 ขยายตัวร้อยละ 113.3) ส่วนมณฑลอื่นๆ ยังมีการนำเข้าไม่มากนักแต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านรายได้และโครงสร้างจำนวนประชากรวัยทำงานมากคาดว่ามณฑลต่างๆ จะมีการนำเข้ามากขึ้นและเป็นโอกาสสำหรับการส่งออกเครื่องสำอางของไทยเพิ่มเติมนอกเหนือจากหัวเมืองหลักข้างต้นได้แก่ เทียนจิน ซึ่งมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 3 ของจีนและมีประชากรวัยรุ่นและทำงาน 12 ล้านคน เจียงซู มีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 4ของจีน และมีวัยทำงานและวัยรุ่นมากถึง 57 ล้านคน และซานตงมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับ 8 ของจีน และมีวัยทำงานและวัยรุ่นประมาณ 67 ล้านคนตามลำดับ
ไทยเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าเครื่องสำอางอันดับ 14ของจีน มีมูลค่าการนำเข้า 145.28 ล้านดอลลาร์ มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.9สินค้าเครื่องสำอางที่จีนนำเข้าจากไทยมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้ามีมูลค่าการนำเข้า 85.97 ล้านดอลลาร์ รองมา คือ ผลิตภัณฑ์อนามัยของช่องปากหรือฟันและ ผลิตภัณฑ์สำหรับผม โดยมีมูลค่านำเข้า 32.18 ล้านดอลลาร์ และ 10.29 ล้านดอลลาร์ ตามลำดับ
นอกจากนี้การศึกษาพบว่าสินค้าเครื่องสำอางที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดจีนพิจารณาจากค่าความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (RCA) ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อนามัยของช่องปากหรือฟัน(ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 2 ของจีน มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 14.8 ขยายตัวร้อยละ13.7) และสบู่ (ไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับ 10 ของจีน มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 2.4ขยายตัวร้อยละ 111.0) ซึ่งจีนมีมูลค่าการนำเข้าสบู่จากไทย 7.8 ล้านดอลลาร์
นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวเพิ่มเติมว่าจีนเป็นตลาดเครื่องสำอางที่มีการเติบโตสูงมากเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะพัฒนาศักยภาพและขยายช่องทางการส่งออกสินค้าที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงอยู่แล้วเช่น ผลิตภัณฑ์อนามัยของช่องปากหรือฟัน และสบู่ ควรส่งเสริมให้มีส่งออกไปยังตลาดจีนให้มากยิ่งขึ้นทั้งมณฑลหลักและมณฑลรอง สำหรับสินค้าที่ไทยส่งออกไปได้ดีแต่ขีดความสามารถในการแข่งขันยังไม่สูงนัก เช่น ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้าและผลิตภัณฑ์สำหรับผมผู้ประกอบการไทยควรพัฒนาสินค้าให้มีมาตรฐานและศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เช่นพฤติกรรมผู้บริโภค สินค้าของประเทศคู่แข่งที่ได้รับความนิยมกว่าเพื่อเป็นประโยชน์ในการผลิตสินค้าให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานสินค้าให้เป็นที่ยอมรับตลอดจนใช้แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชของจีนเป็นช่องทางจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้มากขึ้น
การส่งออกเครื่องสำอางของไทยขยายตัวในตลาดโลกได้ดีต่อเนื่องมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางของไทยไปตลาดโลกในครึ่งแรกของปี 2562 นี้ มีมูลค่า1,465.71 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวร้อยละ 35.4โดยกระจุกตัวใน 3 สินค้า มากถึงร้อยละ 70 ของการส่งออกเครื่องสำอางทั้งหมด ได้แก่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับใบหน้า ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมและผลิตภัณฑ์อนามัยของช่องปากหรือฟัน ทั้งนี้ การส่งออกไปจีนขยายตัวสูงมากโดยครึ่งปีแรก ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 450.4 และหากเปรียบเทียบกับประเทศอาเซียนแล้วในตลาดจีนไทยเป็นรองเพียงสิงคโปร์เท่านั้น