ต่อมา พระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตรแห่งวัดสร้อยทอง พระ
เข้าใจให้ถูกต้อง ก็ไม่ต้องดราม่า
ที่จริงก่อนที่จะมีคำถามว่า พระตุ๊ดผิดหรือไม่ผิดตรงไหน หากมีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของการบวชก็ควรต้องแสวงหาความรู้ในกฎเกณฑ์และข้อบัญญัติซึ่งเกี่ยวข้องกับการบวชให้ชัดเจนเสียก่อน อาตมาว่า ถ้าแสวงหาความรู้ที่ชัดเจนแล้ว คำถามแบบนี้ก็จะไม่เกิด
ในข้อพระวินัย มีการอธิบายเกี่ยวกับคำว่าบัณเฑาะก์ไว้ชัดเจนมาก ว่าหมายถึงบุคคลประเภทไหน บัณเฑาะก์อย่างไรห้ามการบวช บัณเฑาะก์อย่างไรไม่ห้าม
เวลาตั้งคำถามต่อเรื่องพวกนี้ ต้องกลับไปดูคำที่ใช้ในข้อพระวินัย ไม่ใช่เอาคำไทยเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้าม ตุ๊ด เกย์ ไม่ให้บวชนะ ท่านใช้คำว่าบัณเฑาะก์ ซึ่งเป็นคำที่มีคำอธิบายมากกว่าแค่เรื่องของเพศสภาพแบบที่สังคมเราเข้าใจกัน บัณเฑาะก์ในทางพระวินัย หมายถึงบุคคลที่มีความบกพร่องทางเพศด้วย เช่น คนที่มีอวัยวะเพศไม่ปรากฎ
บวชนะบวชได้แน่ แต่การบวชไม่ใช่แค่เรื่องว่าการผิดหรือไม่ผิด เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมของเพศสภาพ พฤติกรรมเสียหายและละเมิดพระวินัยหลังบวชต่างหากที่สำคัญ และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเพศสภาพนะ
การอยู่ในสังฆะ มีระเบียบและกฎเกณฑ์ที่จะต้องถือปฎิบัติร่วมกันในสังฆะ ไม่ใช่แค่อ้างสิทธิ์ในการบวชแล้วจะเข้ามาทำอะไรก็ได้
ทุกวันนี้เราก็เห็นปัญหาอยู่ ไม่ใช่บวชแล้ว จะทาปากแดงเพื่อยืนยันสิทธิในการทาปากของตัวเองก็ได้ ไม่ใช่บวชแล้วจะกรีดตาเขียนคิ้ว เพื่อยืนยันสิทธิในการกรีดตาเขียนคิ้วของตัวเองก็ได้ ไม่ใช่บวชแล้วจะแต่งหน้าทำนม เพื่อยืนยันสิทธิในการแต่งหน้าทำนมของตัวเองยังไงก็ได้ ถ้าแบบนี้ พระศาสนาก็อยู่ไม่รอด ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความปสาทะเลื่อมใส
อาตมาว่าสังคมสงฆ์ทุกวันนี้ใจกว้างมากเลยนะ หากดูจากข่าวที่พระซึ่งประพฤติตัวไม่เหมาะสมในการแสดงออกทางเพศ แต่แน่นอนแหล่ะ เมื่อเข้ามาบวชแล้ว ความพระเป็นเรื่องสำคัญกว่าเรื่องของเพศสภาพ
อาตมาเห็นพระรูปหนึ่ง เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊ก ท่านเคยเป็นถึงนางงามเพศที่ ๓ แต่พอท่านตัดสินใจจะเข้ามาบวช ท่านก็ไปเอานมออก แล้วท่านก็ประพฤติตนสำรวมดีมาก อาตมายังนับถือเลย ถ้าแบบนี้ก็ไม่เป็นปัญหา และสังฆะท่านก็ยอมรับ
ล่าสุดพระมหาไพรวัลย์ ได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง โดยได้เผยว่าถูกเจอเปรียญ ๑๐ ประโยคโพสต์เฟซตำหนิว่าตนรู้ดี โดยมีรายละเอียดว่า...
เจอเปรียญ ๑๐ ประโยค เต็มเฟซบุ๊กไปหมด หาว่าเรารู้ดีว่าพระพุทธเจ้า เรื่องห้ามบัณเฑาะก์บวช พอยกคำอธิบายความพระวินัยในสมันตปาสาทิกามาให้อ่านว่า ท่านไม่ได้ห้ามทั้งหมดนะ ดูให้ดี ศึกษาให้ละเอียดก่อน
แหน่ะ ก็ยังมีเปรียญ ๑๐ มาแย้งอีกว่า ในอรรถกถาท่านบอกว่า บรรพชาได้ก็จริง แต่นั่นหมายถึง ให้บวชเณรแต่ไม่ให้บวชพระ
(อ่านพระไตรปิฎกภาษาไทย ก็เลยไม่เข้าใจว่า ในคัมภีร์พระวินัย ท่านใช้คำบาลีว่า ปพฺพาเชตพฺโพ ปพฺพาเชตฺวา คือบรรพชา เป็นพื้น ทั้งการบวชพระและบวชเณร ไม่ได้แยกส่วนแบบที่พุทธไทยเราคุ้นเคยและนำมาใช้)
นี่ก็เลยต้องยกข้อความในคัมภีร์วิมติวิโนทนีในฎีกามาให้ดูอีก พระฎีกาจารย์เขียนไว้ชัดเจนว่า "...ปพฺพชฺชา น วาริตาติ เอตฺถ ปพฺพชฺชาคหเณเนว อุปสมฺปทาปิ คหิตา..." คือในคำว่า ไม่ห้ามการบรรพชานั้น ท่านหมายถึงแม้แต่การอุปสมบท
เฮ้อ เหนื่อยใจ ตกลงไม่รู้ว่า อาตมารู้ดี อาตมาอวดรู้ หรือคนพุทธส่วนใหญ่ไม่ศึกษาไม่แสวงหาความรู้ให้ถี่ถ้วนกันแน่