ทั้งนี้ โครงการแรก เป็นโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปีจะจ่ายเงินให้กับเกษตรกรที่เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของตัวเองเป็นค่าฝากเก็บตันละ1,500 บาท เก็บกี่ตันก็เอา 1,500 บาทคูณกับจำนวนข้าวเปลือกที่เก็บ ก็จะมีรายได้เพิ่มจากส่วนนี้ทันทีโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะจ่ายให้ก่อนแต่ถ้าสถาบันเกษตรกรเป็นผู้เก็บ เกษตรกรจะได้ค่าฝากเก็บตันละ 500 บาทสถาบันเกษตรกรได้ตันละ 1,000 บาท มีเป้าหมาย 1 ล้านตันและยังสามารถนำข้าวที่เก็บไว้ ไปขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ได้อีก จะได้ค่าข้าว 80%ของราคาตลาด โดยข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 11,000 บาท ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ตันละ9,900 บาท และข้าวเหนียวตันละ 8,700 บาท โดยมีวงเงินสินเชื่อรวม 10,000 ล้านบาทเริ่มโครงการตั้งแต่ 1 พ.ย.2562
ส่วนโครงการที่ 2 สินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกรกำหนดวงเงินสินเชื่อ 15,000 ล้านบาท เป้าหมายข้าวเปลือก 1.5 ล้านตันโดยจะให้สถาบันเกษตรกร กลุ่มสหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน เข้าไปรับซื้อข้าว รวบรวมข้าวสามารถกู้เงินจาก ธ.ก.ส. และเสียดอกเบี้ยเพียง 1% รัฐอุดหนุนดอกเบี้ยให้ 3%เริ่มโครงการ 1 พ.ย.2562
สำหรับโครงการที่ 3เป็นโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต๊อก มีเป้าหมาย 4ล้านตัน วงเงิน 45,000 ล้านบาท โดยรัฐจะช่วยภาระดอกเบี้ย 3%ที่ผู้ประกอบการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารัฐ โดยมีเงื่อนไขต้องเก็บข้าวไว้ในสต๊อก2-6 เดือน ระยะเวลารับซื้อ 20 พ.ย.2562-30 เม.ย.2563 ส่วนภาคใต้เริ่มซื้อ 1ม.ค.-30 มิ.ย.2563
"ผลจากการที่นบข.ด้านตลาด อนุมัติโครงการ และให้ดำเนินการย้อนหลังไปถึงวันที่ 1 พ.ย.2562เพราะก่อนหน้านี้ ได้มีการเตรียมการกันมาแล้ว เมื่อมีมติออกมาก็ทำให้ดำเนินการต่อได้ทันทีและยังส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทันทีโดยข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นตันละ 1,000-1,200บาท และข้าวเปลือกเหนียวตันละ 1,500 บาท และมั่นใจว่ามาตรการที่ออกมาจะช่วยดูแลราคาข้าวเปลือกนาปีในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดได้ โดยล่าสุดยังได้วีดิโอคอนเฟอเรนซ์ไปยังสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเพื่อซักซ้อมทำความเข้าใจการเข้าร่วมโครงการและยังได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อให้ช่วยประชาสัมพันธ์โครงการด้วย"นายวิชัยกล่าว