svasdssvasds
เนชั่นทีวี

บันเทิง

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"

23 พฤศจิกายน 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

หลังจากตระเวนฉายตามเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติทั้งในยุโรป ในที่สุด The Cave นางนอนก็ได้ฤกษ์ออกฉายในประเทศบ้านเกิดเสียที โดย "ทอม วอลเลอร์" ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราว ที่กว่าจะมาเป็น หนัง "The Cave นางนอน"

หลายคนคงจำกันได้ดีว่าเหตุการณ์ ช่วยหมูป่าออกจากถ้ำ ได้รับการติดตามและเอาใจช่วยจากคนทั้งโลก ขณะเดียวกันก็มีผู้สร้างหนังทั้งไทยและเทศหลายรายต่างแสดงเจตจำนง อยากได้ลิขสิทธิ์ในการทำหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างจากเหตุการณ์ถ้ำหลวง เป็นภาพยนตร์ไทยจากฝีมือคนไทยอย่าง ทอม วอลเลอร์

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"

"ทอม วอลเลอร์" เป็นนักเขียน ผู้สร้าง และผู้กำกับภาพยนตร์ลูกครึ่งไทย-ไอริชที่ฝากผลงานชั้นดีเอาไว้หลายเรื่อง อาทิ ซอยคาวบอย ซึ่งได้รับเลือกไปฉายในหัวข้อ Un Certain Regard ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ โดยหนังเรื่องนี้ทอมรับหน้าที่อำนวยการสร้าง
ส่วนหนังที่เขาลงมือกำกับเองมีอยู่ 3 เรื่อง ในจำนวนนี้เป็นหนังไทย 2 เรื่อง คือ ศพไม่เงียบ (Mindfulness and Murder) ที่ได้รับ 3 รางวัลใหญ่จากเทศกาล International Thriller and Spy Film Festival 2010 และหนังเกี่ยวกับชีวิตมือสังหารนักโทษคนสุดท้ายของไทยเรื่อง เพชฌฆาต (The Last Executioner) ที่ทอมคว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติดาร์กาไปครอง แล้วยังได้รางวัลถ้วยทองคำ สาขานักแสดงนำยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเซี่ยงไฮ้ ตามมา ขณะที่ตัวหนังเองก็ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม หรือ ตุ๊กตาทอง อีกด้วย
ทำไมบริษัท เดอ วอร์เรนท์ พิคเจอร์ ของ ทอม วอลเลอร์ ถึงได้รับการอนุมัติให้สร้างหนังถ้ำหลวงออกฉายเป็นเรื่องแรกท่ามกลางการแก่งแย่งกันของค่ายหนังหลายเจ้า แล้วการสร้าง The Cave นางนอน นั้นมีอุปสรรคมากน้อยแค่ไหน ต้องไปฟังจากเจ้าตัวที่เล่าเบื้องลึกให้เราฟังอย่างออกรส

สิ่งแรกที่เราอยากทราบจาก "ทอม วอลเลอร์" น่าจะเป็นสิ่งเดียวกับที่หลายคนอยากรู้ นั่นคือ ทำไมรัฐบาลไทยถึงอนุมัติให้เขาสร้างหนังถ้ำหลวงเป็นเรื่องแรกของโลก
ทอมบอกว่า จริง ๆ แล้วรัฐบาลไทยไม่ได้อนุญาตหรอก แต่เป็นเพราะไม่มีสิทธิ์ห้ามมากกว่า
"พูดง่าย ๆ ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะห้าม ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะให้ผมครับ จริง ๆ แล้วเราก็โดนขู่เยอะมากว่าถ้าทำต้องเจอปัญหาแน่นอน อาจจะทำให้มันไม่ได้เป็นหนังไทยนะ คุณเป็นฝรั่งด้วยใช่ไหม คือผมเป็นทั้งคนไทยแล้วก็เป็นต่างชาติด้วย คนจะเลือกว่า ผมเป็นสัญชาติไหนก็แล้วแต่คนสัมภาษณ์ ผมไปคุยที่อังกฤษผมก็เป็นบริติช ผมมาคุยที่เมืองไทยผมก็เป็นคนไทย แต่ผมยัง 2 สัญชาติอยู่เหมือนเดิม

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"


ผมเป็นคนไทยเต็ม ๆ ผมก็เป็นฝรั่งเต็ม ๆ ผมเป็นลูกครึ่งแต่ผมไม่ได้มีครึ่งชาติ ผมมีเต็มไทย แล้วก็เต็มอังกฤษ ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะถ้าเป็นฝรั่งเต็ม ๆ ผมคงไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้เพราะมันต้องผ่านหลายสเต็ป และกว่าจะผ่านได้ใช้เวลามาก
ส่วนเรื่องของเด็ก ๆ และโค้ชทีมฟุตบอลหมูป่า อะคาเดมี่นั้น ทอมบอกว่า ไม่ได้เจอตัวเลย รัฐบาลปิดกั้นทุกอย่าง เพราะกังวลว่าเด็ก ๆ ที่ติดอยู่ในถ้ำนานถึง 18 วันจะได้รับผลกระทบด้านจิตใจหากต้องกลับไปนึกถึงหรือเผชิญกับเหตุการณ์ครั้งนั้นอีก
แต่ตอนแรกเขาก็เข้าใจว่ารัฐบาลทำไปเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กถูกเอาเปรียบ ไม่ให้ตกอยู่ท่ามกลางแสงสปอตไลท์มากไป แต่สุดท้ายเขากลับเห็นเด็กไปร่วมงานนิทรรศการถ้ำหลวงที่พารากอน ไปมุดถ้ำที่ทำเป็นฉากจำลองขึ้นมาจึงรู้สึกว่า รัฐบาลเก็บเด็กเอาไว้เพื่อออกงานแบบนี้เองน่ะหรือ
"เด็ก 13 คนนี้กลายเป็นมาสคอตของเมืองไทย ผมเข้าใจว่ารัฐบาลก็รู้สึกว่านี่เป็นโอกาส เป็นการรายงานข่าวเชิงบวก (positive media coverage) สำหรับเมืองไทยนะ แต่ผมงงว่า ไหนบอกว่าจะไม่เปิดเผย แต่สุดท้ายกลับมี ABC News ได้สัมภาษณ์เด็กที่วัด แล้วไหนบอกว่าจะไม่ให้นักข่าวไปคุย ผมเห็นสื่อไทยเค้าโวยวายกันว่าทำไมให้ฝรั่งเข้าไปสัมภาษณ์ได้ มันเป็นเรื่องภายใน ไม่รู้ว่าต้องคุยกับใคร แต่เรารู้ว่าเราคุยไม่ถึง ก็เลยไม่ได้คุยกับเด็ก ไม่ได้เจอเด็ก แม้แต่ จิม วอร์นี (นักดำน้ำชาวไอริชที่เป็นคนพาตัวโค้ชเอกออกมาจากถ้ำ) ก็ยังไม่ได้เจอโค้ชเลย"นอกจากเรื่องที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว การขออนุญาตเข้าไปถ่ายทำในพื้นที่ของทางการก็เจอปัญหาเช่นกัน เพราะทำเรื่องขออนุญาตไปนานแล้ว แต่ผู้มีอำนาจกลับไม่ยอมเซ็นอนุมัติซักที
"เราคอยประมาณ 4 เดือน ไปถ้ำหลวงก็เข้าไม่ได้ ผมยกกองถ่ายไปเชียงราย นึกว่าจะเข้าได้ แต่หัวหน้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน บอกว่าเข้าไม่ได้ ผมก็เลยต้องยกกองไปถ่ายที่อื่นแทน
หลังจากที่ไม่ได้เรื่อง สุดท้ายผมเลยนัดคุยกับกระทรวงฯ เพราะเขียนจดหมายไปแล้วไม่มีประโยชน์ ไม่มีใครตอบมา เราก็เลยบอกว่าขอเข้าประชุมด้วยแล้วกัน แล้วเอาภาพถ่ายไปให้ดูว่าเรื่องราวมันไม่เกี่ยวกับเด็กนะ แต่เกี่ยวกับทีมกู้ภัยที่ช่วยเหลือเด็ก แล้วพรีเซนต์ว่าไม่ได้เข้าไปในถ้ำนะ ขอแค่ไปถ่ายหน้าปากถ้ำสักนิดนึง หนังเรื่อง The Cave แล้วไม่มี The Cave ได้ไง มันจะตลกไหมถ้าไปฉายเมืองนอกแล้วเขาถามว่าถ่ายที่ถ้ำหลวงไหม แล้วต้องตอบว่า รัฐบาลไม่ให้ถ่าย มันเสียโอกาสเลย"
เราคอยประมาณ 4 เดือน ไปถ้ำหลวงก็เข้าไม่ได้ ผมยกกองถ่ายไปเชียงราย นึกว่าจะเข้าได้ แต่หัวหน้าวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน บอกว่าเข้าไม่ได้ ผมก็เลยต้องยกกองไปถ่ายที่อื่นแทนสุดท้ายแล้ว ทอมบอกว่ามีเจ้าหน้าที่ซึ่งน่าจะเป็นรองปลัดฯ ท่านหนึ่งช่วยพูดให้ว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย แค่ทำหน้าที่ของตัวเองคือถ่ายหนัง ถ้ามีหน่วยงานรัฐบาลที่จะต้องไปใช้พื้นที่ตรงนั้นก็ต้องขออนุญาตไปตามขั้นตอน ซึ่งเรื่องนี้เขารู้ดีอยู่แล้ว และทำตามกฎมาโดยตลอด จึงได้ขอเข้าไปถ่ายที่ถ้ำหลวงสักวันนึงก็ได้รับคำตอบมาว่าขอพิจารณาก่อน

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"

แล้วเรื่องก็ข้ามปีมาจนเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2562 ก็มีจดหมายส่งถึงวนอุทยานถ้ำหลวงฯ ว่า กองถ่าย The Cave ไม่เกี่ยวกับหมูป่า แต่ถ่ายเรื่องกู้ภัยหมูป่า ขอให้อำนวยความสะดวกให้กองถ่ายนี้เข้าไปถ่ายได้ในเวลา 8 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม รวมเวลาทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง เขาจึงรีบถ่ายกันสุดชีวิต
"มีรั้วสีเขียวอยู่เค้าก็เปิดล็อกให้ทีมงานเข้าไปแล้วปิดล็อก เราถูกขังอยู่นั้น แล้วมีหมูป่าของเราด้วย 13 คนที่เป็นตัวละคร เหมือนกับเป็นหมูป่าในกรงเลย เรารีบถ่ายกันก่อนที่เค้าจะมาหยุดเรา เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ 2 คน คอยดูอยู่ คอยห้ามไม่ให้เข้าไปลึก พอค่ำก็เก็บของ 2 ทุ่มเค้าก็ปิดประตูตามหลังเรา ปิดตายเลยไม่ให้คนเข้า ผมก็เลยบอกว่ายากนะถ้าคนอื่นจะมาถ่ายเรื่องนี้ กว่าจะได้อนุญาต ขนาดเราเป็นหนังไทยยังเจอแบบนี้เลย"


สิ่งที่ทีมงาน The Cave ได้รับมาทำให้เราเกิดความสงสัยว่าเหตุการณ์ช่วยเหลือทีมหมูป่าออกจากถ้ำได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก รวมถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย แล้วทำไมรัฐบาลจึงไม่ถือโอกาสอำนวยความสะดวกในการสร้างหนังเพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศไปเลย
ทอมบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน พร้อมเล่าให้ฟังว่า ได้นำ The Cave นางนอน ไปฉายที่เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานซึ่งมีคนสนใจมากมาย แต่รัฐบาลไทยกลับไปจัดงานชนกับหนังเรื่องนี้ ทำให้เขางงว่าไปเพื่อโปรโมทหนังไทยแต่ทำไมจัดงานชนกับหนังไทยด้วยกันเอง ทั้ง ๆ ที่ก็มีหลายวันหลายเวลาให้เลือก โดยตัวเขาได้รับข้อความจากทางปูซานถามมาด้วยความสงสัยว่า ทำไมเป็นแบบนี้ ทางฝ่ายไทยไม่มีการประสานงานกันเองหรอกหรือ

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"

วกกลับมาเรื่องภาพยนตร์กันบ้าง ตอนเกิดเหตุการณ์ถ้ำหลวง ทอม วอลเลอร์ ทำอะไรอยู่ที่ไหน แล้วอะไรเป็นตัวจุดประกายให้เขาคิดสร้างหนังโดยอิงจากเหตุการณ์นี้
ทอมบอกว่า ตอนนั้นเขาอยู่บ้านพ่อที่ไอร์แลนด์พอดี (ประเทศเดียวกับ จิม วอร์นี นักดำน้ำกู้ภัยคนหนึ่งในเหตุการณ์นี้) แล้วมีข่าวเรื่องนี้ออกทางทีวีท้องถิ่นจึงติดตามมาตลอด เพราะประเทศไทยไม่เคยมีข่าวใหญ่ชนิดที่สื่อต่างชาติเกาะติดแบบนี้มาก่อน โดยตอนนั้นเป็นช่วงที่ยังหาตัวเด็กไม่เจอ
หลังจากนั้น ทอมได้ไปเห็นข่าวในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการต้อนรับฮีโรชาวไอริชกลับประเทศหลังจากไปร่วมปฏิบัติภารกิจกู้ภัยที่ถ้ำหลวง แล้วก็มีหน้าจิม วอร์นี ยืนอยู่ตรงประตูเครื่องบิน ก็เลยไปติดต่อขอคุยด้วยเพราะคิดว่าเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจ โดยตอนนั้นยังไม่คิดไปถึงเรื่องสร้างหนัง แค่ไปขอคุยดูก่อน
ทอมติดต่อไปทางเฟซบุ๊ค แล้วพอคุยกันถึงได้รู้ว่า "จิม" คือคนที่พาโค้ชเอกออกจากถ้ำเลยรู้สึกว่า นี่เป็นตัวเด่นเลยนะ ไม่ใช่แค่หมูป่าสักคนนึง แต่เป็น "โค้ชเอก" เลย แล้วตอนนั้นโลกก็กำลังติดตามดราม่าเรื่องโค้ชเอกไม่มีสัญชาติไทยอยู่ด้วยพอดีพอคุยกันเสร็จ จิมก็แอบไปดูหนังเรื่อง เพชฌฆาต ของทอมที่มีฉายอยู่ทาง Netflix แล้วโทรมาหาบอกว่าได้ดูหนังแล้ว เป็นหนังดี ถ้าเขาสนใจจะทำเรื่องนี้เป็นหนังก็ยินดีที่จะคุยในรายละเอียด ทอมจึงกลับไปคุยกับจิมยาวเหยียด อัดเสียงเอากลับไปเขียนบททั้งที่ยังไม่ได้เซ็นสัญญาเลย แล้วก็ถามจิมว่าสนใจทำหนังด้วยกันไหม หรือจะไปทำกับทางฮอลลีวู้ดที่มีติดต่อมาหลายเจ้า
จิมบอกว่าไม่รู้ว่าทางฮอลลีวู้ดจะจริงจังแค่ไหน เพราะนักดำน้ำในกลุ่มหลายคนบอกว่ามีติดต่อมาจริงแต่ยังไม่ได้บอกเรื่องตัวเลข เรื่องเงินอะไรเลย ทอมจึงบอกไปตามตรงว่าตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่มีเงินเหมือนกัน แต่จะเอาหนังไปเสนอก่อน ซึ่งก็ไปเสนอมาหลายที่แต่ไม่มีใครสนใจจึงต้องสร้างเองความลำบากในการถ่ายทำ เพราะเป็นหนังที่ต้องถ่ายกันในถ้ำใต้น้ำ?
ทอมบอกว่า The Cave เป็นเรื่องที่ยากที่สุดตั้งแต่เคยทำมา ต้องสร้างฉากขึ้นมาใหม่เพราะการเอาเด็กไปถ่ายในถ้ำมันลำบาก แถมยังมีอันตรายจากพวกงู แมงมุมอีก เลยไม่ขอเสี่ยง

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"


หนังเรื่องนี้มีการถ่ายทำทั้งในถ้ำจริง และในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย โดยทอมได้เรียก Production Designer ฝีมือระดับโลก จู๋-พงศ์นรินทร์ จงห่อกลาง ซึ่งทำหนังต่างประเทศมาเยอะ มาบอกว่าให้สร้างฉากในสเกลเดียวกับหนังฮอลลีวูดเลย ไม่มีการจำกัดงบ"ผมจะให้หนังเรื่องนี้ไปฉายทั่วโลกไม่ใช่แค่เมืองไทย ถ้าเป็นเมืองไทยฉากจะขึ้นแค่ผนังเดียวแล้วใช้มุมกล้องเอา ซึ่งปรากฏว่า เค้า (พงศ์นรินทร์) สร้างฉากถ้ำหลวงขึ้นมาในสระว่ายน้ำไซส์โอลิมปิกที่ไม่ใช้แล้ว และเอาส่วนที่เป็น club house ไปสร้างเป็นถ้ำแห้ง อลังการมาก ทุนมากกว่าหนังไทยทั่วไป พูดง่าย ๆ ว่าต่อให้ทำเงินเป็นร้อยล้านก็ยังไม่คืนทุนเลย เราเลยหวังว่าขอให้คนไทยไปดูและขอให้คนต่างชาติดูด้วย ไม่งั้นขาดทุนแย่เลย"
ส่วนเรื่องที่มีคนดราม่าว่าเด็ก ๆ หมูป่าไม่ใช่ฮีโร่ ไม่สมควรจะได้เงินจากการติดถ้ำ ทอมบอกว่าเขาไม่ได้จ่ายเงินให้เด็กเพราะไม่มีสิทธิ์คุยกับพวกเขา แล้วทางนั้นก็ไม่มีสิทธิ์มาเก็บจากทอมด้วยเช่นกัน เพราะไม่ได้คุยกัน ไม่ได้เจาะลึกเรื่องของเด็ก ๆ
"หนังเราเกี่ยวกับคุณจิม ผู้ใหญ่ตั๊นที่เอาปั๊มน้ำมาตั้งไกลแต่เข้าถ้ำไม่ได้ เกี่ยวกับ unsung heroes มีเรื่องของเด็กอยู่ด้วยก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้เป็นตัวดำเนินเรื่อง"


เหตุการณ์กู้ภัยที่ถ้ำหลวงมีอาสาสมัครหลายคน แล้วทอมใช้หลักการอะไรในการเลือกว่าจะนำเรื่องราวของคนไหนมาใส่ในหนัง
"ผมสนใจคนที่ฮอลลีวู้ดไม่น่าทำ คนตัวเล็ก ๆ ที่น่าสนใจ ผมเอาเรื่องของพวกเขามาสร้างเป็นจอใหญ่ แต่คนอื่นไม่น่าจะมองเขาเป็นพระเอกหรือฮีโร่ เหมือนเป็น untold story"

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"


"ฮีโร่ของผมจะต่างจากฮีโร่หนังฟอร์มยักษ์ เราไม่มี Iron Man แต่เรามีจิม คนธรรมดาทั่วไปที่เข้าไปในถ้ำเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จัก เป็น selfless act เขาเป็นฮีโร่จริง ๆ เป็นยิ่งกว่า avengers อีก เขาเป็นช่างไฟที่โทรไปลางานเพื่อขอไปดำน้ำช่วยเหลือเด็ก"ทอมเล่าว่า ทุกคนในที่ทำงานของ จิม วอร์นี รู้ว่าเขาชอบดำน้ำ พอเห็นข่าวหมูป่าเลยแซวว่าไม่ไปช่วยเด็กหรือ ขณะที่จิมเองพอเห็นภาพหน่วยซีลของไทยจากในข่าวก็คิดขึ้นมาว่าเสี่ยง เพราะหน่วยซีลจะถนัดดำน้ำใน open water ซึ่งขึ้นมาหายใจตอนไหนก็ได้ แต่การดำน้ำในถ้ำต้องมีถังอากาศติดตัวไป 2 ถัง แล้ววิธีการเข้าก็ไม่เหมือนกัน เขาเลยแอบคิดในใจว่าแบบนี้เสี่ยง ไม่น่าจะรอด
พอเห็นข่าวจ่าแซมเสียชีวิต จิมก็คิดว่าต้องไปช่วยแล้ว เขาเลยส่งข้อความไปหาเพื่อนนักดำน้ำที่มาช่วยอยู่ที่ไทยว่าพร้อมที่จะไปช่วย ให้เรียกมาได้เลย ก็ได้รับคำถามกลับมาว่า พร้อมในกี่ชั่วโมง จิมบอก 2 ชั่วโมง ก็ได้รับคำตอบให้สแตนด์บายเอาไว้ แล้วเดินทางมาถึงไทยในนาทีที่ต้องการพอดีสิ่งที่ทอม วอลเลอร์ อยากจะบอกให้ทุกคนเข้าใจชัดเจนก่อนไปดู The Cave นางนอน คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับทีมกู้ภัยที่เข้าไปช่วยหมูป่า ไม่ได้โฟกัสไปที่ตัวเด็ก ๆ และโค้ช แต่เป็นเรื่องของ Unsung Heroes เหล่าคนตัวเล็ก ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ"มันเป็น volunteer spirit ไม่ว่าจะเป็นคนไทย คนต่างชาติ พวกเขามารวมตัวกันที่ถ้ำหลวงเหมือนกับเป็น United Mission Impossible แล้วยิ่งมีคนเสียสละมากมายเช่น จ่าแซม ผมรู้สึกว่ามันเป็นจุดที่ทำให้คนอย่างจิม ตัดสินใจไปเลย คือตอนแรกภารกิจช่วยเหลือมันอยู่ในมือของหน่วยซีล แต่หลังจากนั้นน่าจะเปลี่ยนใจกันว่าให้คนที่มีความชำนาญเฉพาะทางเข้าไปช่วยดีกว่า"

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"

ภาพยนตร์เรื่องนี้มีผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงมาร่วมแสดงด้วยอยู่หลายคน ในส่วนของนักดำน้ำก็มี จิม วอร์นี จากไอร์แลนด์, ถัน เซี่ยวหลง อาจารย์สอนดำน้ำจากประเทศจีน, เอริก บราวน์ อาจารย์สอนดำน้ำจากแคนาดา, มิคโค พาซี นักดำน้ำจากฟินแลนด์ แล้วก็ ทอดด์ รูซ นักข่าวชาวอเมริกันที่รายงานข่าวให้ ข่าวสดภาคภาษาอังกฤษ
นอกจากนั้นยังมี นภดล นิยมค้า หรือ "ผู้ใหญ่ตั๊น" เจ้าของบริษัท Niyomka Marine Engineering ที่ขนเครื่องปั๊มน้ำเทอร์โบเจ็ต หรือเครื่องสูบน้ำพญานาค ที่คิดค้นและผลิตเองไปช่วยจนสามารถระบายน้ำออกจากถ้ำได้สำเร็จ โดย ผู้ใหญ่ตั๊น เป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง และทอมบอกว่าไม่สามารถหาใครมารับบทแทนได้เพราะผู้ใหญ่มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัว จึงต้องให้เล่นเอง
สำหรับเด็ก ๆ ที่มาเล่นเป็นน้อง ๆ ทีมหมูป่านั้น ทอมบอกทีมงานว่าให้ไปแคสจากทีมฟุตบอลเลยจะได้เล่นฟุตบอลเป็นโดยไม่ต้องมีปัญหาอะไร แค่หาเด็กที่หน้าตาคล้าย แล้วก็ต้องมีคนที่พูดภาษาอังกฤษได้จากประโยคที่โลกจำ
"How many of you? Thirteen. ผมแคสติ้งจากประโยคนั้นเลย" ทอมบอก
ตอนนี้ภาพยนตร์ The Cave นางนาน เข้าโรงฉายแล้ว ความพึงพอใจของ ทอม วอลเลอร์ หลังจากที่หนังถ่ายเสร็จ เข้าโรงฉายแล้วมีมากขนาดไหน

"ทอม วอลเลอร์" เผยเรื่องราว เบื้องหลังหนัง "The Cave นางนอน"


"ผมภูมิใจมากเพราะผมรู้สึกว่าในหนัง 3-4 เรื่องที่ผมกำกับมาเรื่องนี้เด่นที่สุด น่าดูที่สุด และดูง่ายที่สุด เปลี่ยนอารมณ์มาเป็นหนังกระแส ไม่ได้นอกกระแสเหมือนที่ผ่านมา ผมแค่กลัวอย่างหนึ่งว่าเราเข้าฉายชนกับหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ดคนอาจจะไม่เข้าไปดู ก็ขอให้เลือกดูเรื่องนี้ก่อนที่จะออกจากโรงไปครับ"

logoline