นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้คดีถือหุ้นสื่อของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พ้นสภาพความเป็น ส.ส. ว่า กรณีของนายธนาธร ไม่สามารถนำมาเทียบเคียงกับกรณีของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้
เนื่องจากแบบวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งบริษัท หรือ สสช.1 ของนายธนาธร เป็นการจดทะเบียนบริษัทเพื่อประกอบกิจการสื่อมวลชนอย่างแท้จริง มีการเสียภาษีและรายได้ที่เกี่ยวกับการทำกิจการสื่อทั้งสิ้น
แต่กรณีของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มีบริษัทใดที่ประกอบกิจการสื่อสารมวลชนนอกจากนี้ กรณีของนายธนาธร นอกจากรายได้และงบดุลที่รายงานต่อกระทรวงพาณิชย์ มีรายละเอียดครบถ้วนว่ามาจากการประกอบกิจการสื่อแล้ว อีกทั้งยังมีการจดแจ้งการพิมพ์ มีเครื่องจักรโรงพิมพ์ครบถ้วน แต่กรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือไปยังสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร และมีเอกสารยืนยันว่าทุกบริษัทไม่มีการจดแจ้งการพิมพ์ส่วนข้อสังเกตเกี่ยวกับคำวินิจฉัยว่า
แม้ปัจจุบันไม่ทำสื่อ อาจมีโอกาสประกอบกิจการสื่อได้ในอนาคต นายราเมศ ย้ำว่า ข้อสังเกตนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกรณี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากบริษัทไม่จดแจ้งการพิมพ์ ก็ไม่มีทางประกอบกิจการสื่อมวลชนได้ส่วนกรณี นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดี ส.ส.พิษณุโลก ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของนายแพทย์วรงค์
ส่วนเหตุผลประการอื่นหรือเหตุผลส่วนตัว ยังไม่ได้พูดคุยกัน แต่ยืนยันว่าไม่ได้เป็นเหตุจากความขัดแย้งภายในพรรค และนายแพทย์วรงค์ ก็มีบทบาทในการตรวจสอบการทุจริตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ตนและนายแพทย์วรงค์ ก็ยังไปให้การคดีรับจำนำข้าว