ทั้งนี้ การเดินทางในครั้งนี้เป็นการดำเนินการตามแนวทางนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์คือ รักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่า ขยายตลาดใหม่ โดยในแนวทางขยายตลาดใหม่ กรมฯมีแผนจัดคณะเดินทางไปเจรจาขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลังในสาธารณรัฐตุรกีนิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ ซึ่งประเทศกลุ่มนี้ขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้มันสำปะหลังในการเป็นวัตถุดิบในสูตรอาหารสัตว์รวมถึงไม่ทราบคุณประโยชน์การใช้มันสำปะหลังเลี้ยงสัตว์ เช่น ช่วยให้สุขภาพแข็งแรงลดการเกิดโรค เป็นต้น
ปัจจุบันอุตสาหกรรมมันสำปะหลังของไทยพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดจีนมากเกินไปส่งผลกระทบต่ออำนาจต่อรองทางการค้า ดังนั้น กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่เป็น Saleman ของประเทศจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อหาตลาดใหม่ๆ มารองรับนอกจากนี้เพื่อให้เป็นไปตามมาตรการคู่ขนานของกระทรวงพาณิชย์เพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 กรมฯ ได้เพิ่มความเข้มงวดกำกับดูแลมาตรฐานมันสำปะหลังที่นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านโดยส่งชุดสุ่มตรวจมาตรฐานมันสำปะหลังนำเข้า (Mobile Unit) ลงพื้นที่ตามแนวชายแดนซึ่งพบผู้นำเข้าหลายรายนำเข้ามันสำปะหลังที่มีมาตรฐานต่ำกว่าที่กำหนด คือมีความชื้นสูงเกิน 14%ซึ่งกรมฯ ได้ลงโทษโดยพักทะเบียนผู้นำเข้าดังกล่าว
นายกีรติ กล่าวว่าการเดินทางไปสาธารณรัฐตุรกีในครั้งนี้ นอกจากจะได้ขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลังแล้วยังได้พ่วงเจรจาขยายตลาดสินค้าข้าวด้วย และได้มีการลงนาม MOU ซื้อขายสินค้าข้าวให้สาธารณรัฐตุรกี จำนวน 2 คู่ ปริมาณรวม 6,000 ตัน ซึ่งภายหลังเสร็จภารกิจที่สาธารณรัฐตุรกียังได้เดินทางต่อไปสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเพื่อนำผู้ส่งออกสินค้าข้าวไทยไปลงนาม MOUซื้อขายสินค้าข้าวให้สาธารณรัฐเยอรมนีอีกจำนวน1 คู่ ปริมาณ 5,000 ตันโดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์)ได้ให้เกียรติเป็นประธานในการลงนาม MOU ดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตามตั้งแต่เดือนมกราคม - กันยายน 2562 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังรวม 5.27 ล้านตัน มูลค่า 2,039 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปริมาณและมูลค่าลดลงร้อยละ 17และ 12จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณการส่งออกรวม6.36 ล้านตันมูลค่า 2,317 ล้านเหรียญสหรัฐฯ