ทั้งนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในขณะนี้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)ได้เห็นชอบกรอบการใช้เงินงบประมาณปี 2563 จำนวน 4,289.86 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงการคลังได้อนุมัติการใช้เงินแล้วมาใช้ในมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2562/63 (คู่ขนานกับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562/63 รอบที่ 1)วงเงิน 2,572.50 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกโดยให้สินเชื่อเกษตรกรรายบุคคล และสถาบันเกษตรกร เก็บข้าวไว้ในยุ้งฉาง เป้าหมาย 1 ล้านตัน ข้าวเปลือก โดยให้ค่าใช้จ่ายในการฝากเก็บตันละ1,500 บาท วงเงิน 1,500 ล้านบาท และชดเชยดอกเบี้ยให้เกษตรกรเป็นระยะเวลา5 เดือน
2. โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวม ข้าวโดยสถาบันเกษตรกรโดยสนับสนุนสินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมข้าวเปลือก เพื่อจำหน่าย และ/หรือเพื่อการแปรรูป โดยสถาบันเกษตรกรรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยในร้อยละ 3 ต่อปี วงเงิน 562.5 ล้านบาท 3. โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก เป้าหมายให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่เข้าร่วมโครงการฯ รับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรแล้วเก็บเป็นระยะเวลา 2 -6 เดือนโดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 3 วงเงิน 510 ล้านบาทซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2562 นี้
"สถานการณ์ราคาที่มีการปรับตัวอ่อนลงเล็กน้อยเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากคุณภาพข้าวแต่อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงปริมาณข้าวหอมมะลิและข้าวเหนียวที่มีปริมาณน้อยลงกว่าเป้าหมายการผลิตและรัฐได้มีมาตรการดังกล่าวออกมาเชื่อว่าจะทำให้ราคามีเสถียรภาพมากขึ้น" นายวิชัยกล่าว