svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษคุก"ป๋านัส-ป๋าต้น" 120ปีค้ามนุษย์วิคตอเรียฯ

19 พฤศจิกายน 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"ศาลอุทธรณ์" พิพากษาแก้โทษ "ป๋านัส-ป๋าต้น" รายกระทงลงโทษ สูงสุด 10 ปี เจอคุก 120 ปี แต่รับโทษสูงสุดตาม กฎหมาย 50 ปี ชี้ พฤติการณ์ผิดศีลธรรม ให้ชดใช้ 2 สาวเมียนมา 1.6 แสน "ป๋านัส" เครียดถึงกับกุมขมับ

ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์สถานบริการอาบอบนวด "วิคตอเรีย ซีเครท" คดีหมายเลขดำ คม.24/2561 ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายมนัส หรือป๋านัส อ่วมทับ อายุ 49 ปี และนายสมชาย หรือป๋าต้น แสงอุดม อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นพนักงานเชียร์แขก ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณีโดยบังคับขู่เข็ญ , เป็นธุระจัดหา ชักพาไปหญิงสาวอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 , พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 , พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541

ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษคุก"ป๋านัส-ป๋าต้น" 120ปีค้ามนุษย์วิคตอเรียฯ


คดีนี้ อัยการ ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 21 เม.ย.61 พฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างต้นเดือน ธ.ค. 60 - วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด - 12 ม.ค.61 ต่อเนื่องกัน พวกจำเลยได้สมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี ซึ่งได้วางแผน-แบ่งหน้าที่กันทำ เป็นธุระจัดหา ชักพาไปหญิงสาว สัญชาติเมียนมา และสัญชาติไทย รวม 9 คน ซึ่งมีอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี ให้มาค้าประเวณี ที่สถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ซีเครท ถ.พระรามเก้า แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. โดยมีจำเลยทั้งสองรับหน้าที่เป็นพนักงานเชียร์แขก เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่น มี น.ส.ศศิธร วิระเทพสุภรณ์ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจใน หจก.อมรินทร์ ออนเซน จัดทำประวัติของพนักงานก่อนเริ่มเข้าทำงานในสถานบริการ ซึ่งเดิมทั้งสองถือฟ้องร่วมกับ "นายศรัทธาธรรม แจ้งฉาย หรือป๋าติ๊ก แจ้งฉาย" อายุ 67 ปี ผู้จัดการสถานบริการอาบอบนวด กับพวกรวม 9 คน เมื่อเดือน เม.ย.61 แต่ชั้นพิจารณามีเฉพาะ "นายมนัส หรือป๋านัส" และ "นายสมชาย หรือป๋าต้น" ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วน"นายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก" ผู้จัดการสถานบริการ กับพวกจำเลยที่เหลืออีก 7 รายให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดีจึงแยกสำนวนฟ้องศาลชั้นต้น
มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ก.ย.61 เห็นว่า "นายมนัส หรือป๋านัส" และ "นายสมชาย หรือป๋าต้น" มีความผิดฐานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าประเวณี และเป็นธุระจัดหาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 282 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 283 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 11 วรรคสอง และฐานสมคบทำผิดค้ามนุษย์แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีฯ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6,9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 52 วรรคหนึ่ง วรรคสอง จำคุก คนละ 46 ปี โดยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้ 22 ปี 12 เดือน

คดีนี้ อัยการโจทก์ และจำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่ง "นายมนัส หรือป๋านัส" และ "นายสมชาย หรือป๋าต้น" ขอให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษด้วย ขณะที่วันนี้ ศาลได้เบิกตัวทั้งสอง มาเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อฟังคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ในข้อหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้ง2 ฐานเป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการกิจการ สถานค้าบริการประเวณีฯซึ่งมีบุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน18ปี จำคุก 2 ปี 6 เดือน นั้นความผิดในส่วนนี้คู่ความไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีส่วนนี้จึงถึงที่สุดแล้วส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันคดีของนายศรัทธาธรรมหรือป๋าติ๊ก ซึ่งเป็นผู้จัดการสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท กับพวกรวม 7 คน ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ได้ยื่นฟ้องและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเป็น คดีหมายเลขแดง คม. 53/2561 (คดีหมายเลขดำ คม. 26/2561)ที่เรียกว่าเหตุลักษณะคดี (เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วมีผลถึงจำเลยคนอื่นด้วย)
โดยเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยทั้ง 7 ในข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำความผิดค้ามนุษย์ด้วยการค้าประเวณี โดยลงโทษเฉพาะข้อหาเป็นธุระจัดหาบุคคลฯเพื่อสนองความใคร่และค้าประเวณี คดีของจำเลยทั้ง 2 จึงต้องยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวด้วย ศาลอุทธรณ์ฯเห็นว่าการจะพิจารณาแล้วเห็นการจะพิจารณานั้นก็ต้องดูรูปเรื่องทั้งหมดซึ่ง คดีของจำเลยทั้ง2 อัยการโจทก์ก็ได้บรรยายพฤติการณ์ฟ้องและนำสืบพยานหลักฐานจนฟังได้ว่า ร่วมกันกระทำผิดฐานโดยสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ค้ามนุษย์ โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหาบุคคลฯ สนองความใคร่ผู้อื่น และที่จำเลยทั้ง 2 อุทธรณ์ขอให้พิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์ฯเห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้ง2 ที่โจทก์ฟ้องนั้นได้กระทำผิดต่อบุคคลจำนวนมาก ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี จากการค้าประเวณีอีกทั้งยังเป็นการกระทำที่อุกอาจ ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้ง2 จึงฟังไม่ขึ้น โดยอุทธรณ์ของอัยการโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษรายกระทงเป็น 2-10 ปี(จากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา กระทงละ2-5ปี) โดยข้อหาที่โทษหนักที่สุดคือสมคบกันตั้งแต่2 คนขึ้นไปค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหา บุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18ปีฯ จำคุก 7 กระทงๆละ 10 ปี เป็นจำคุก 70 ปี โดยรวมกับโทษ ฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลให้ค้าประเวณีโดยขู่เข็ญฯ และข้อหาอื่นอีกหลายกระทง รวมจำคุก "นายมนัส หรือป๋านัส" และ "นายสมชาย หรือป๋าต้น" ทั้งสิ้น 120 ปี จำเลยรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 60 ปี โดยรวมกับที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานเป็นผู้ดูแลสถานค้าประเวณีฯ 2 ปี 6 เดือน เป็นจำคุก 62 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วให้จำคุกสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เป็นจำคุกคนละ 50 ปี และพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหาย 2 ราย สัญชาติเมียนมา คนละ 80,000 บาท รวม 1.6 แสนบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง 21 เม.ย. 61 (แต่เดินศาลชั้นต้นยกคำขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทน) นอกจากที่แก้ให้เป็นตามศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์เพิ่มโทษคุก"ป๋านัส-ป๋าต้น" 120ปีค้ามนุษย์วิคตอเรียฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายหลังศาลอ่านคิดพิพากษาที่โทษสูงขึ้น นายมนัส ถึงกับยกมือขึ้นลูบหน้า และกุมขมับ ซึ่งมีหน้าตาเคร่งเครียดเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดี สำหรับกรณีกล่าวหาค้ามนุษย์จากการค้าประเวณีเด็กหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี ในสถานอาบอบนวดวิคตอเรีย ซีเครท นั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปแล้ว 2 สำนวน คดีหมายเลขดำ คม.25/2561 เมื่อวันที่ 27 ส.ค.61 ให้จำคุกนายศรัทธาธรรม แจ้งฉาย หรือป๋าติ๊ก อายุ 68 ปี ผู้จัดการสถานบริการ และนายบุญทรัพย์ อมรรัตนาศิริ หรือป๋ากบ อายุ 56 ปี คน 3 คนละ 3 ปี 4 เดือนฐานเป็นธุระจัดหาฯ และเป็นผู้ดูแล-ผู้จัดการสถานที่ค้าประเวณี , จำคุก น.ส.ศศิธร วิระเทพสุภรณ์ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจใน หจก.อมรินทร์ ออนเซน ที่ขอใบอนุญาตดำเนินกิจการ เป็นเวลา 8 เดือน และนายเดชา สิงห์สาครเดชา หรือ หนู ที่ขับรถกระบะพาเด็กสาวผู้เสียหายที่ถูกส่งตัวจาก กทม.ไป อ.สะเดา จ.สงขลา ไปค้าประเวณียังประเทศมาเลเซีย และมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติจำคุก 6 ปี เหตุเกิดระหว่างเดือน ก.ค.57 - 13 ม.ค.60 คดีหมายเลขดำ คม 26/2561 พิพากษา ให้จำคุก นายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก ผู้จัดการสถานบริการ จำเลยที่ 1 , นายบุญทรัพย์ หรือป๋ากบ ที่ 2 , นายชัยณรงค์ อันสุข หรือป๋าสง่า อายุ 55 ปี ที่ 3 , นายเอกณพัชร์ จารุวัฒน์ปฐมกุล หรือพี่ป๊อป อายุ 30 ปี จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานเชียร์แขก ฐานเป็นธุระจัดหาฯ คนละ 15 ปี 12 เดือน , น.ส.ศศิธร หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อัมรินทร์ออนเซน ที่ 6 จำคุก 7 ปี 6 เดือน เหตุเกิดระหว่างต้นเดือน ธ.ค.60 - 12 ม.ค.61 เด็กผู้เสียหายเมียมา-ไทย รวม 9 คน
โดยทั้ง 2 สำนวนให้ยกฟ้อง นายกำพล หรือเสี่ยกำพล นางนิภา นายธนพล วิระเทพสุภรณ์ และจำเลยทั้งหมดในข้อหาค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบในการค้าประเวณี เพราะพยานหลักฐานโจทก์ยังไม่พอฟังให้ลงโทษหลังจากศาลยกฟ้อง คณะทำงานอัยการกองคดีค้ามนุษย์ มีความเห็นให้อุทธรณ์ความผิดฐานค้ามนุษย์ กับจำเลยที่ศาลยกฟ้อง แต่อธิบดีอัยการคดีค้ามนุษย์ มีความเห็นไม่ฟ้อง และเมื่อส่งความเห็นไปที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ปรากฎว่าอธิบดีดีเอสไอ มีความเห็นพ้องด้วยไม่ฟ้องนางนิภา และนายธนพล วิระเทพสุภรณ์ ทำให้องค์กรภาคีเครือข่ายต่อต้านการค้ามนุษย์ ยื่นให้นายกรัฐมนตรี ผู้ตรวจการแผ่นดิน กระทรวงยุติธรรม และอัยการสูงสุด ตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจ ของอธิบดีดีเอสไอ และอัยการขณะที่จำเลยที่ถูกตัดสินโทษจำคุกนั้น ก็ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง
โดยส่วนของ "นายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก" ผู้จัดการสถานบริการ และ "นายบุญทรัพย์ หรือป๋ากบ" เมื่อรวมโทษจำคุก 2 สำนวนแล้วเป็นเวลาทั้งสิ้น 18 ปี 16 เดือน ขณะที่ "น.ส.ศศิธร" หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก.อัมรินทร์ออนเซน ที่ขอใบอนุญาตสถานบริการนั้น ก็จำคุกทั้งสิ้น 7 ปี 14 เดือน ซึ่งคดีทั้งอัยการโจทก์ และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ส่วน "นายกำพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล" เจ้าของสถานบริการวิคตอเรีย ซีเครท ที่อัยการสำนักงานคดีค้ามนุษย์สั่งฟ้องร่วมทำผิดด้วยนั้น ปัจจุบันยังติดตามตัวมายื่นฟ้องไม่ได้ ซึ่งคาดว่าจะหลบหนีคดี โดยพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขอศาลออกหมายจับไว้แล้วซึ่งมีอายุความการติดตามตัวมาฟ้องภายใน 20 ปี

logoline