"เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การป้องกันและปราบปราม แต่รวมถึงการบำบัดดูแล แลกเปลี่ยนข้อมูลของแต่ละประเทศด้วย แผนปฏิบัติการนั้นจะใช้เวลา 2 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2562 - 2564 ในแผนครั้งนี้มี 4 ประเด็นหลัก คือ 1.ปัญหายาเสพติดที่ทำลายสุขภาพ 2.เรื่องการปราบปรามและป้องกัน 3. เรื่องกฎหมายของแต่ละประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ ต้องบูรณาการร่วมกันให้คล่องตัว และ 4. การพัฒนาอาชีพทดแทน ซึ่งในส่วนนี้ประเทศไทยได้รับการชื่นชมในผลงานที่น่ายกย่องจากการประชุม เพราะในส่วนนี้เป็นพระราชกรณียกิจ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงงานต่อเนื่องจนถึง พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น สิ่งที่ดีตรงนี้ได้รับการเชิดชูและยกย่องจากกลุ่มประเทศที่ร่วมมือกัน" นายสมศักดิ์ กล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า วันนี้เรื่องการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ของประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในกลุ่มอาเซียนมากขึ้น เพราะเราจริงจังมาตลอด โดยมียูเอ็นโอดีซี เป็นหน่วยงานหลัก ที่ร่วมมือกันจัดการประชุมอยู่บ่อยๆ รัฐบาลไทยมีความจริงจังในการปราบปราม สนธิกำลังในเขตชายแดน ไม่ว่าจะเป็น เมียนมาร์และสปป.ลาว เราแลกเปลี่ยนข้อมูล รวมทั้งได้ส่งข้อมูลไปยังประเทศปลายทางทำให้มีการจับกลุ่มยาเสพติดได้มากขึ้น
นายสมศักดิ์ ยังกล่าวในช่วงท้ายว่า ขณะที่ประเด็นการดูแลชาวบ้านและชุมชน ให้ห่างจากยาเสพติด เรามีการพัฒนาขึ้นจากการให้ความรู้ ส่งเสริมการสร้างความรักในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น เวลานี้ตนต้องย้ำว่า ยาเสพติดผลิตกันง่ายมากขึ้น เพราะใช้เพียงสารตั้งต้น ไม่ต้องใช้สารจากพืช ทำให้ในปีที่ผ่านมายอดมูลค่าของยาเสพติดนั้นสูงถึง 60,000 ล้านเหรียญ หากทุกประเทศทั่วโลกไม่ร่วมมือกันอย่างจริงจัง ยาเสพติดจะกระจายไปทั่ว ซึ่งจากการประชุมครั้งนี้ แต่ละประเทศได้รับข้อมูลต่างๆไปแล้ว เชื่อว่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มหาศาล เราต้องทำเพื่อประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ