svasdssvasds
เนชั่นทีวี

สังคม

"กนก" ขอน้อมนำธรรมะคำสอน "พระสารีบุตร" เพื่อพิจารณาเป็นมรณานุสติและสังฆานุสติ

11 พฤศจิกายน 2562
เกาะติดข่าวสาร >> Nation Story
logoline

"กนก รัตน์วงศ์สกุล" ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก "Kanok Ratwongsakul Fan Page" โดยได้โพสต์เล่าเรื่องราวของ "พระสารีบุตร" เพื่อเตือนสติผู้อ่าน ในวันลอยกระทงนี้ (๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒)

วันนี้เป็นวันพระใหญ่ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
นอกจากจะเป็นวันลอยกระทงแล้ว ยังตรงกับวันคล้ายวันนิพพานของ "พระธรรมเสนาบดีพระสารีบุตร" พระอัครสาวกเบื้องขวา เอตทัคคะผู้เลิศทางมีปัญญามาก (ท่านนิพพานก่อนพระบรมศาสดา ๑ พรรษา)

"กนก" ขอน้อมนำธรรมะคำสอน "พระสารีบุตร" เพื่อพิจารณาเป็นมรณานุสติและสังฆานุสติ



จึงขอน้อมนำธรรมะคำสอนของท่าน มาเผยแพร่เพื่อพิจารณาเป็นมรณานุสติ และสังฆานุสติ

"..ความเป็นความตายเราไม่ยินดีเราจักละทิ้งร่างกายนี้ไปอย่างผู้มีสติสัมปชัญญะความเป็นความตายเราไม่ยินดีเรารอแต่ให้ถึงเวลาคล้ายลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงานความตายนี้มีแน่ ไม่ว่าเวลาแก่ ก็เวลาหนุ่มแต่ที่จะไม่ตาย ไม่มีหรอก.."

บั้นปลายชีวิตของ "พระสารีบุตรเถระเจ้า" องค์ท่านมีชีวิตอยู่มาจนกระทั่งถึงระยะปัจฉิมโพธิกาล (ระยะเวลาใกล้สิ้นยุคพุทธกาล) ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้านิพพานก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ ปี คือนิพพาน ในปีที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๗๙ พรรษา

พระสารีบุตรเถระเจ้า ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (ความสิ้นไปของกิเลสทั้งหมด) เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ (ถ่ายเป็นเลือด) ดังมีเรื่องเล่าว่า..

วันหนึ่ง ท่านเข้าผลสมาบัติ (การเข้าถึงฌาน) อยู่ในที่พักกลางวันของท่านในวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ออกจากผลสมาบัติแล้วพิจารณาเห็นว่าพระอัครสาวกย่อมนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า

ดังนั้นท่านจึงได้ตรวจดูอายุสังขารของตนเองและเห็นว่าจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีก ๗ วันเท่านั้น

ท่านได้พิจารณาต่อไปถึงสถานที่ที่จะไปนิพพานก็เห็นว่าควรจะไปนิพพานที่บ้านเกิด ทั้งนี้เพื่อจะได้โปรดโยมมารดาซึ่งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะเป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ รูปก็ตาม

พระมหาเถระจึงตั้งใจไปโปรดโยมมารดาของท่าน ให้ได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเห็นด้วยว่าโยมมารดามีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านแสดง

เมื่อปลงใจได้ดังนั้นแล้ว ท่านจึงแจ้งพระจุนทะผู้เป็นน้องชายให้ทราบ และบอกให้แจ้งแก่บรรดาศิษย์ให้ทราบด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านได้เก็บกวาดเสนาสนะ แล้วออกมายืนอยู่ที่หน้าเสนาสนะนั้น

ท่านมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพาพระจุนทะและพระบริวาร ๕๐๐ รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า

"ข้าแต่พระบรมศาสดา อายุของข้าพระองค์ใกล้สิ้นแล้วข้าพระองค์ขอกราบพระบาทเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับจากนี้ไปอีก ๗ วัน ข้าพระองค์จะได้ทอดทิ้งร่างกาย ขอได้ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์นิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร เธอจักไปนิพพานที่ไหน" พระพุทธเจ้าตรัสถาม

"ที่บ้านเกิด พระพุทธเจ้าข้า"

"สารีบุตร" พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพร้อมทั้งอนุญาต แล้วตรัสต่อไปว่า

"ต่อนี้ไปภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว ขอเธอได้ช่วยอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังก่อนเถิด"

ท่านเข้าใจถึงพุทธประสงค์ได้ดี จึงลุกขึ้นถวายบังคมรับพระพุทธดำรัส แต่ก่อนที่จะแสดงธรรม ท่านได้เหาะขึ้นไปสูงได้ชั่วลำตาล ๑ แล้วกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้า
จากนั้นก็ได้เหาะกลับขึ้นไปอีกแล้วกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าอีก ท่านทำอยู่อย่างนี้ถึง ๗ ครั้ง
กล่าวคือ ท่านเหาะขึ้นไปสูงสุดถึง ๗ ชั่วลำตาล และในแต่ละชั่วลำตาลนั้นท่านได้เหาะกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าทุกครั้ง ขณะที่เหาะอยู่สูงถึง ๗ ชั่วลำตาลนั้นท่านได้แสดงฤทธิ์ต่างๆ มากกว่าร้อยแล้วจึงแสดงธรรม
ขณะที่แสดงธรรมอยู่นั้นท่านได้แสดงฤทธิ์ด้วย
โดยบางครั้งทำให้คนเห็นตัวท่าน แต่บางครั้งก็ทำให้ไม่เห็น คงให้ได้ยินแต่เสียง
หรือให้เห็นเพียงครึ่งตัว เสียงของท่านบางครั้งก็ได้ยินจากข้างบน บางครั้งก็ได้ยินจากเบื้องล่าง
ท่านยังปรากฏกายให้เห็นเป็นรูปต่างๆ บางครั้งเป็นรูปพระจันทร์ บางครั้งเป็นรูปพระอาทิตย์ ครั้นแสดงฤทธิ์และแสดงธรรมถวายตามพุทธประสงค์แล้ว ท่านก็ได้เหาะกลับลงมาถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วเข้าไปประคองพระบาท พลางกราบทูลว่า
"ข้าแต่พระบรมศาสดา ข้าพระองค์สู้สร้างบารมีมาช้านานนับได้ ๑ อสงไขยกับ ๑๐๐.๐๐๐ กัป ก็ด้วยตั้งใจจะได้ถวายบังคมพระบรมบาท"
จากนั้นท่านได้กราบถวายบังคมลา พระพุทธเจ้าเสด็จออกมาส่งหน้าพระคันธกุฎี และตรัสบอกพระสาวกทั้งหลายในที่นั้นให้ไปส่งท่าน ครั้นถึงซุ้มประตูเชตวันมหาวิหาร ท่านบอกพระที่ตามมาส่งท่านให้กลับ พร้อมทั้งกล่าวสอนไม่ให้ประมาท
ท่านพร้อมด้วยพระจุนทะและพระบริวารเดินทางอยู่ ๗ วันก็ถึงอุปติสสคามบ้านเกิดของท่าน ที่เมืองนาลันทา แคว้นมคธ
ท่านพร้อมด้วยคณะได้ยืนพักเหนื่อยอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ทางเข้าบ้านของท่าน และได้พบกับอุปเรวตะผู้เป็นหลานชาย จึงได้แจ้งความประสงค์ที่จะมาพักที่บ้านกับโยมมารดาให้หลานชายทราบ
ฝ่าย "นางสารี" โยมมารดาเมื่อได้ทราบว่า พระลูกชายพาพระบริวารมาเยี่ยม ก็รู้สึกดีใจเป็นกำลัง จึงสั่งคนงานในบ้านให้จัดการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ จัดที่พักและตามประทีปไว้พร้อมสรรพ
และเมื่อทราบว่าท่านประสงค์จะพักในห้องที่ท่านเกิด นางสารีก็จัดให้ตามประสงค์ แต่ในขณะเดียวกันก็สงสัยอยู่ว่า ทำไมพระลูกชาย จึงได้พาพระบริวารมามากมายเพียงนี้ หรือว่าบุตรของตนมาเพื่อจะสึกอยู่ครองเรือนสืบทอดทรัพย์สมบัติที่มีอยู่มากของเรา เมื่อนางสารี คิดได้อย่างนี้ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง ดีใจเป็นยิ่งนัก จึงได้จัดเตรียมสิ่งของที่จะมาบำรุงบำเรอบุตรชายของตน

ตกดึกคืนนั้นเองท่านได้เกิดป่วยเป็นโรคปักขันธิกาพาธ อย่างปัจจุบันทันด่วน พระจุนทะและพระบริวารได้ช่วยกันพยาบาลอย่างใกล้ชิด ฝ่ายโยมมารดาเห็นว่าท่านอาพาธหนัก
จึงมาเฝ้าดูอาการด้วยความเป็นห่วง อยู่ที่ริมประตู
เพราะในห้องแน่นขนัดไปด้วยพระบริวาร และลูกศิษย์
ขณะนั้น เทวดาองค์สำคัญ ๆ ต่างมาเยี่ยมอาการป่วยของท่านตามลำดับ ตั้งแต่ท้าวมหาราชทั้ง ๔ รวมทั้งท้าวมหาพรหมแห่งพรหมโลก
เทวดาแต่ละองค์ ล้วนมีรัศมีเปล่งปลั่งงดงาม ต่างพากันมาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วยความเป็นห่วงและด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
นางสารีเห็นเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ใจนั้นโดยตลอด

แต่ก็ไม่ทราบว่าบุคคลแต่ละกลุ่มที่มีแสงสว่างไสวนั้น
เป็นใครมาจากไหน มาปรากฏและแทรกเข้ามาในห้องได้อย่างไร
เมื่ออาการของพระเถระค่อยบรรเทาลง นางได้เข้าไปสนทนาด้วย และถามถึงบุคคลต่าง ๆ ที่มาเยี่ยม ซึ่งนางสารีไม่ทราบว่าเป็นใคร ท่านได้บอกให้โยมมารดา ได้ทราบตามลำดับจนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหม
"อุปติสสะ" โยมมารดาเรียกชื่อเดิมของท่านด้วยความอัศจรรย์ใจ "นี่ลูกของแม่ใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมที่แม่กราบไหว้นับถืออีกหรือ"
ทันใดนั้น โยมมารดาก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวง สีหน้าเอิบอิ่ม เมื่อได้ทราบว่าท้าวมหาพรหมที่ตนเคารพ ยังเสด็จมาเยี่ยมพระลูกชาย
"อุปติสสะลูกชายของเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้ แล้วพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาของลูกชายเราเล่า..จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน"
นางสารีคิดไปถึงพระพุทธเจ้า พระเถระสังเกตดูโยมมารดาตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าจิตใจเริ่มอ่อนโยน เหมาะจะรับคำสอนทางพระพุทธศาสนาได้ จึงเริ่มแสดงธรรมโปรด โดยพรรณนาถึงพระพุทธคุณนานาประการ อาทิว่า
พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ห่างไกลจากกิเลส
ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง โยมมารดาฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก และเมื่อจบพระธรรมเทศนา นางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
พระเถระได้ตอบแทนพระคุณโยมมารดาด้วยการตอบแทนที่ล้ำค่า คือให้พ้นจากความเห็นผิดที่มีมานานเสียได้
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญ

ส่วนโยมมารดารู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา ที่ไม่ได้สัมผัสอมตธรรม จึงพูดกับท่านเป็นเชิงตัดพ้อว่า
"ลูกรัก ทำไมจึงเพิ่งมาให้อมตธรรมนี้แก่แม่เล่า"
หลังจากโยมมารดาได้ลากลับเข้าที่พักแล้ว จึงสั่งบริวารให้เตรียมสิ่งของมีค่าชั้นเลิศต่าง ๆ นานา เพื่อที่รุ่งเช้าจักได้ทำบุญถวายทานกับพระลูกชาย ให้สมเจตนา
พระสารีบุตรเถระเจ้า ท่านได้บอกพระจุนทะให้นิมนต์พระบริวารมาประชุมพร้อมกัน ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้สว่าง
ท่านดูอิดโรยเต็มที แต่ก็พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง โดยพระจุนทะคอยประคองอยู่ตลอดเวลา
"ท่านทั้งหลาย" พระเถระเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"เรากับท่านอยู่ด้วยกันมานานถึง ๔๔ ปี หากกายกรรมและวจีกรรมอันใดไม่เป็นที่พอใจ ขอได้อภัยด้วยเถิด"
"ข้าแต่ท่านผู้เจริญ" พระสัทธิวิหาริก กล่าวตอบ
"พวกกระผมติดตามท่านมานาน ยังมองไม่เห็นกายกรรมและวจีกรรมอันใดของท่านที่ไม่เหมาะสมเลย แต่พวกกระผมสิจะต้องขอให้ท่านได้โปรดยกโทษในกายกรรมและวจีกรรมที่ไม่สมควร"
พระสารีบุตรเถระ กับพระสัทธิวิหาริก ต่างกล่าวคำขอขมากันและกันแล้ว แสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้าแล้ว เช้าวันนั้นเบญจขันธ์อันอ่อนล้าของ พระเถระก็ดับลงอย่างสนิท ท่านนิพพานเมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ในห้องที่ท่านเกิดนั่นเอง
ส่วนนางสารี รู้ว่าพระลูกชายของตนมาด่วนนิพพานจากไป ก็เกิดธรรมสังเวชยิ่งนัก ที่ปล่อยให้วันเวลาที่มีค่าล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ หาได้ขวนขวาย เพื่อฟังธรรมคำสอนอันเป็นปิยะวาจาของบุตรตนเลย
นางเสียใจคร่ำครวญ ที่ตนเองเป็นถึงมารดาของพระอัครสาวกขององค์สมเด็จพระจอมไตรแท้ๆ แต่กลับไม่มีโอกาสได้ทำบุญให้สมปรารถนา
นางสารี ผู้เป็นกัลยาณชนแล้วในบัดนี้ ได้สั่งข้าทาสบริวารนำทรัพย์สมบัติของตนมา เพื่อจัดสร้างจิตกาธานถวายเพลิงสรีระพระอัครสาวก ผู้เป็นบุตรของตน
ทั้งนี้เทวดาและมนุษย์ได้พร้อมใจกันฌาปนกิจสรีระศพของพระธรรมเสนาบดีพระสารีบุตร ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระจอมมุนี อย่างสมเกียรติที่สุด
จากนั้นพระจุนทะนำผ้าขาวมาห่ออัฐิธาตุของพระสารีบุตรเถระแล้ว ก็นำไปพร้อมทั้งบาตรและจีวร เพื่อมอบให้พระอานนท์นำไปถวายพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าทรงรับอัฐิธาตุของพระสาวกแล้ว โปรดให้สร้างสถูปบรรจุไว้ที่ใกล้ประตูเชตวันมหาวิหาร เพื่อให้พุทธบริษัทได้สักการะต่อไป
" วันพระ "
วันจันทร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุล
วัดพระประโทณเจดีย์อ.เมือง นครปฐม

logoline