จึงขอน้อมนำธรรมะคำสอนของท่าน มาเผยแพร่เพื่อพิจารณาเป็นมรณานุสติ และสังฆานุสติ
"..ความเป็นความตายเราไม่ยินดีเราจักละทิ้งร่างกายนี้ไปอย่างผู้มีสติสัมปชัญญะความเป็นความตายเราไม่ยินดีเรารอแต่ให้ถึงเวลาคล้ายลูกจ้างรอให้หมดเวลาทำงานความตายนี้มีแน่ ไม่ว่าเวลาแก่ ก็เวลาหนุ่มแต่ที่จะไม่ตาย ไม่มีหรอก.."
บั้นปลายชีวิตของ "พระสารีบุตรเถระเจ้า" องค์ท่านมีชีวิตอยู่มาจนกระทั่งถึงระยะปัจฉิมโพธิกาล (ระยะเวลาใกล้สิ้นยุคพุทธกาล) ท่านพระสารีบุตรเถระเจ้านิพพานก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ๑ ปี คือนิพพาน ในปีที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระชนมายุ ๗๙ พรรษา
พระสารีบุตรเถระเจ้า ได้เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพาน (ความสิ้นไปของกิเลสทั้งหมด) เมื่อวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ที่บ้านของท่านเอง ด้วยโรคปักขันทิกาพาธ (ถ่ายเป็นเลือด) ดังมีเรื่องเล่าว่า..
วันหนึ่ง ท่านเข้าผลสมาบัติ (การเข้าถึงฌาน) อยู่ในที่พักกลางวันของท่านในวัดเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ออกจากผลสมาบัติแล้วพิจารณาเห็นว่าพระอัครสาวกย่อมนิพพานก่อนพระพุทธเจ้า
ดังนั้นท่านจึงได้ตรวจดูอายุสังขารของตนเองและเห็นว่าจะมีชีวิตอยู่ไปได้อีก ๗ วันเท่านั้น
ท่านได้พิจารณาต่อไปถึงสถานที่ที่จะไปนิพพานก็เห็นว่าควรจะไปนิพพานที่บ้านเกิด ทั้งนี้เพื่อจะได้โปรดโยมมารดาซึ่งยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ แม้จะเป็นมารดาของพระอรหันต์ถึง ๗ รูปก็ตาม
พระมหาเถระจึงตั้งใจไปโปรดโยมมารดาของท่าน ให้ได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเห็นด้วยว่าโยมมารดามีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้เมื่อได้ฟังธรรมที่ท่านแสดง
เมื่อปลงใจได้ดังนั้นแล้ว ท่านจึงแจ้งพระจุนทะผู้เป็นน้องชายให้ทราบ และบอกให้แจ้งแก่บรรดาศิษย์ให้ทราบด้วย เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านได้เก็บกวาดเสนาสนะ แล้วออกมายืนอยู่ที่หน้าเสนาสนะนั้น
ท่านมองดูทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้าย แล้วพาพระจุนทะและพระบริวาร ๕๐๐ รูปเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
"ข้าแต่พระบรมศาสดา อายุของข้าพระองค์ใกล้สิ้นแล้วข้าพระองค์ขอกราบพระบาทเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนับจากนี้ไปอีก ๗ วัน ข้าพระองค์จะได้ทอดทิ้งร่างกาย ขอได้ทรงพระกรุณาอนุญาตให้ข้าพระองค์นิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า"
"สารีบุตร เธอจักไปนิพพานที่ไหน" พระพุทธเจ้าตรัสถาม
"ที่บ้านเกิด พระพุทธเจ้าข้า"
"สารีบุตร" พระพุทธเจ้าตรัสเรียกพร้อมทั้งอนุญาต แล้วตรัสต่อไปว่า
"ต่อนี้ไปภิกษุทั้งหลายจะไม่ได้เห็นพระสาวกเช่นเธออีกแล้ว ขอเธอได้ช่วยอนุเคราะห์แสดงธรรมให้ภิกษุทั้งหลายฟังก่อนเถิด"