จวบจนถึงขณะนี้ การจุดประกายแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยฝ่ายค้านที่อ้างเหตุผลว่าเพื่อเป็นการสืบสานปณิธานประชาธิปไตย การกระจายอำนาจ / แก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชน ก็ยังคงเข้มข้นและไม่ทีท่าจะลดละแต่อย่างใด แม้จะถูกกองทัพแจ้งจับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 กรณีมีนักวิชาการขึ้นเวทีเสนอแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 1 ก็ตาม
ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลเองก็มิได้นิ่งเฉย หรือปล่อยให้ฝ่ายค้านชิงความได้เปรียบ เพราะได้เปิดตำรารบเล่มเดียวกัน เดินสายเปิดเวทีรณรงค์ในประเด็น "ไม่จำเป็นต้องแก้รัฐธรรมนูญ" ภายใต้สโลแกน "ประชาธิปไตยอิ่มสัญจร" อันเป็นการสะท้อนนัยยะรัฐธรรมนูญฉบับกินได้ / เรียกว่าเป็นการสื่อสารกันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา / ควบคุมการผลิตโดย ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ
ผู้แทนพรรคแกนนำรัฐบาลจัดขบวนเดินสายพูดคุยกับชาวบ้านในทุกภูมิภาคของประเทศ อย่างเวทีล่าสุดที่ อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ก็คึกคักไม่แพ้เวทีอื่นๆ
ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ วทันยา วงษ์โอภาสี หรือ "มาดามเดีย" บอกถึงการปฏิบัติภารกิจนอกสภาว่า จริงๆ แล้วรัฐบาลไม่ได้ขัดขวางเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยินดีรับฟังฝ่ายค้าน แต่การจะแก้ไขก็ต้องรับฟังเสียงพี่น้องประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยด้วย ซึ่งจากการเปิดเวทีของรัฐบาล พบว่าประชาชนต้องการความชัดเจนว่าฝ่ายค้านต้องการแก้ไขตรงจุดใดบ้าง และผลที่จะออกมา จะสามารถตอบโจทย์ประเทศให้ดีขึ้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือในความเห็นของมาดามเดียร์ เรือ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้องโดยตรงตามที่ฝ่ายค้านอ้าง
เมื่อหันไปฟังเสียงประชาชนที่เข้าร่วมเวที ส่วนใหญ่ก็ยังพึงพอใจที่จะใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต่อไป
การจัดเวทีถึงถิ่นราชบุรี พื้นที่เลือกตั้งของ "เอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์" ทำให้เธอไม่พลาดที่จะเดินทางมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย และแน่นอนว่าวาทะของเอ๋ ก็ไม่ทำให้ผู้ฟังผิดหวัง
บทสรุปจากเวทีสัญจร ซึ่งผ่านมาแล้วทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล พบความจริงข้อหนึ่งว่า เมื่อคู่แข่งทางการเมืองเสนอนโยบายมาประชันขันแข่งกันไม่ว่าเรื่องใด และไม่ว่าสถานการณ์จะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่สุดท้ายผู้ที่ตัดสินใจอนาคตของประเทศ ย่อมเป็นประชาชน
เอนกพล... ถ่ายภาพธัญญา พัชรวงศ์ศักดา เนชั่นทีวี...รายงาน