ทั้งนี้ กรมฯจะนำผลศึกษามาวิเคราะห์อีกที และขอให้คณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชีเข้ามาดูต่อว่ากำไรมาตรฐานที่ควรจะเป็นของยาแต่ละชนิด ควรจะเป็นเท่าใด และจากนั้นถึงจะมีแนวทางในการดำเนินการต่อ เพราะหากโรงพยาบาลเอกชนยังคิดราคาแพงแบบสุดโต่งก็จะต้องเข้าไปจัดการ
ผศ.ดร.สุจิตรา ตุลยาเดชานนท์อาจารย์ประจำคณะพาณิชย์ศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าผลการศึกษาพบว่า ต้นทุนยาของโรงพยาบาลไม่มีความสัมพันธ์กับขนาดธุรกิจโดยธุรกิจแบบกลุ่ม ที่มีบริษัทในเครือ ส่วนใหญ่มีการกำหนดราคาขายยาสูงแต่ราคาซื้อต่ำ มีกำไรส่วนเกินสูง ส่วนโรงพยาบาลแบบเดี่ยว กำหนดราคาค่อนข้างต่ำแต่ซื้อราคาสูง มีกำไรส่วนเกินต่ำกว่าแบบกลุ่ม และยังพบว่าโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล และที่ตั้งอยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวตั้งราคาขายยาสูงกว่าพื้นที่อื่นๆ
"ตามธรรมชาติของการทำธุรกิจ บริษัทใหญ่หรือบริษัทที่เป็นกลุ่ม มีบริษัทในเครือมาก จะมีอำนาจต่อรองสูงแล้วซื้อยาได้ในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ต้นทุนต่ำ แต่การตั้งราคายากลับสวนทางมีการตั้งราคาสูงกว่าโรงพยาบาลที่ซื้อยามาในต้นทุนสูง จึงสรุปได้ว่าการตั้งราคายาไม่สอดคล้องกับต้นทุน คือ ต้นทุนต่ำ แต่กำหนดราคาขายสูง โดยสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ยาที่มีวอลุ่มการใช้มาก แก้ปวด ลดไข้ พวกนี้ถ้ายิ่งกำไรเยอะ ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง"
นายวรพงษ์ สุธานนท์หุ้นส่วนสายงานที่ปรึกษา Forensic Services บริษัท ไพร๊ซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ คอนซัลติ้ง(ประเทศไทย) จำกัดซึ่งได้เข้ามาช่วยศึกษาและวิเคราะห์ต้นทุนราคายาของโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่าผลการศึกษาพบว่ามียาเป็นจำนวนมากที่มีต้นทุนการซื้อถูกมาก แต่มีการตั้งราคาสูงและกำไรสูงมาก ทั้งกำไรจากต้นทุน และกำไรส่วนเกิน
ยกตัวอย่าง เช่น ยาแก้ปวดลดไข้ (Tyenal) ต้นทุนเม็ดละ 48 สตางค์ มีราคาขาย 1-22 บาท กำไร26.58-4,483.34% ,ยาลดความดัน (Anapril)ขาย 2-56 บาทกำไร 150-9,100%, ยาลดไขมัน (Bestatin)ขาย 2-61 บาทกำไร 185.71-11,965.21%, ยารักษาลมชัก(Depakine) ขาย300-1,354 บาท กำไร26.12-470.01% , ยาฆ่าเชื้อ(Ciprobay) ขาย1,723-3,655.88 บาท กำไร 64.42-255.81% และยามะเร็ง ขาย86,500-234,767 บาท กำไร 9.98-188.80%