เมื่อวันที่ 29 ต.ค. ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ถึงการเข้าพบของนายไมเคิล ฮีธ อุปทูตรักษาการแทน เอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ว่า ถือเป็นการเข้ามาพบครั้งแรกภายหลังการเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งเขาได้แจ้งว่าทางผู้ใหญ่ ของสหรัฐอเมริกาจะมาร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน หรือ อาเซียนซัมมิท ในวันที่ 2-4 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งได้เตรียมการมาอย่างดีเพราะต้องการลงทุนกับประเทศไทย นอกจากนี้ยังได้มีการไปสำรวจพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC และได้พบปะกับนักลงทุนชาวอเมริกัน ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทยทั้งสิ้น
นายสมคิด ระบุว่า ได้สอบถามถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศยกเลิกสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรทางการค้า หรือ GSP ไฟนอล (สิ้นสุด)แล้วหรือไม่ ซึ่งอุปทูตสหรัฐฯบอกว่า ยังไม่ไฟนอล พร้อมกันนี้ตนได้แจ้งไปว่า ที่ทางสหรัฐฯ ตัดสิทธิ GSP สินค้าไทยบางรายการ เป็นมูลค่าไม่มากนัก และสิ่งเหล่านี้น่าจะพูดคุยกันอีกครั้ง เพราะทั้งไทยและสหรัฐฯ เป็นมิตรกันมานาน จึงอยากให้ใช้ช่วงเวลาที่ผู้ใหญ่สหรัฐฯ เดินทางเข้ามาได้หารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าจะร่วมกันได้อย่างไรต่อไป
โดยอุปทูตสหรัฐฯ ชี้แจงว่า การที่สหรัฐฯตัด GSP เป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นในห้วงเดียวกับช่วงที่ผู้ใหญ่ทางสหรัฐจะเดินทางมาประเทศไทย และยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวยังไม่ใช่ข้อสรุปที่สิ้นสุด จึงสามารถพูดคุยกันได้
ทั้งนี้ นายสมคิด เปิดเผยว่า ผู้ใหญ่ทางสหรัฐฯ ที่จะเดินทางเข้ามา เป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคง ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา รัฐมนตรีพาณิชย์ รวมถึงนักธุรกิจ ซึ่งถือเป็นคณะใหญ่ ซึ่งเราก็อยากให้บรรยากาศเป็นไปด้วยดี และตนได้บอกไปว่าคนไทยก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแต่มีอะไรขอให้พูดคุยกัน ซึ่งในเรื่องของแรงงานที่ใช้เป็นเหตุในการตัดสิทธิ GSP โดยที่ผ่านมาไทยก็พยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเขาก็เข้าใจ
นายสมคิด กล่าวยืนยันว่า การพูดคุย ไทยคงไม่ได้มุ่งเน้นเพื่อขอสิทธิ GSP คืน แต่ตนได้บอกเขาว่าอยากให้ใช้เวทีการประชุมในห้วงนั้นหารือยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างอเมริกากับไทย ไม่ใช่ไปดูเป็นเรื่องๆ เพราะว่าขณะนี้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทุกประเทศอยากเข้ามา นอกจากนี้ ไทยก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในข่ายที่จะต้องใช้ GSP เพราะประเทศไทยจัดอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ด้วยความที่ไทยสหรัฐเป็นเพื่อนกันมานานก็ขอสิทธินี้เอาไว้ก่อน
ทั้งนี้ อุปทูตสหรัฐฯ ยังสอบถามไปถึงรายละเอียดการประชุม สุดยอดผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง หรือ ACMECS ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงไปว่า เป็นกรอบความร่วมมือที่ทำให้ 5 ประเทศเป็นอนุภูมิภาคที่ร่วมมือกัน และจะมีศักยภาพที่สูงมาก หากอเมริกาเข้ามาในจังหวะนี้ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ซึ่งตนอยากให้สหรัฐมองถึงอนาคต ซึ่งเขาได้ถามถึงความสนใจของจีนและญี่ปุ่นในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งตนก็ตอบไปว่าใช่ พร้อมชวนให้สหรัฐมาเข้าร่วม เพราะเขาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้
โดยในการพูดคุยกันกับอุปทูตสหรัฐฯ ในวันนี้ไม่ได้มีการหารือถึงเรื่องการแบน 3 สารพิษอันตราย แต่ยืนยันว่าไทยเป็นมิตรกับสหรัฐฯ และตั้งใจที่จะไปลงทุนในประเทศสหรัฐฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องพิจารณากันโดยรวม ซึ่งทางอุปทูตสหรัฐฯมีความเป็นมิตรสูง
ส่วนกรณีที่คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยออกมาระบุว่าให้รัฐบาล เจรจากับสหรัฐฯแบบประเทศคู่ค้าไม่ใช่ลูกไล่นั้น เรื่องมิตรภาพระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญอย่าเอาประเด็นเหล่านี้มาเป็นประเด็นการเมืองทั้งสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น เป็นประเทศใหญ่ การที่สร้างพันธ์ถือเป็นเรื่องดี ส่วนเรื่องที่ไม่เป็นธรรมต้องเจรจา ซึ่งทุกอย่างต้องเกื้อกูลกัน
ทั้งนี้ นายสมคิด ยังเปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตั้งคณะทำงานศึกษาผลกระทบจากการใช้สารเคมีอันตรายเพราะขณะนี้ยังไม่สามารถหาสารเคมีที่จะมาใช้ทดแทนสารเคมีที่ยกเลิกได้