เกษตรกร แนะรัฐแก้สินค้าเกษตรตกต่ำให้ได้ ก่อนแบนสารเคมี

เป็นครั้งแรก ที่กลุ่มหนุนสารเคมีเกษตร ได้พบกับกลุ่มต้านสารเคมีเกษตร ได้พบกัน ที่ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยไม่ได้นัดหมาย เกิดเป็นความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย
การเผชิญหน้ากันระหว่าง 2 กลุ่ม เกิดขึ้นหลังจากที่มติกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้แบน สารเคมีการเกษตร 3 ชนิด นั่นคือพาราควอต ไกลโฟเสท และคลอไพลิฟอส ตั้งเป้าวันที่ 1 ธันวาคม จะต้องไม่มีวางขายอีกแล้วเป้าหมายของเราในวันนี้มุ่งหน้าไปที่จังหวัดปทุมธานี จังหวัดเกษตรกรรม ที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เริ่มต้นด้วยการสำรวจร้านขายสารเคมีการเกษตรรายใหญ่ ว่ามีการปรับตัวอย่างไร
สุรชัย ศรีสังข์สุข ผู้จัดการ บริษัท พรหมประสิทธิ์การเกษตร จำกัด ร้านขายสารเคมีเกษตรรายใหญ่ใน อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี ยอมรับว่าชะลอการสั่งซื้อ 3 สารเคมีเพื่อสต๊อก โดยรอลุ้นมติจากคณะกรรมการวัตถุอันตราย วันที่ 22 ตุลาคม นี้ ว่าจะออกมาเช่นไร
สำหรับสินค้าตัวใหม่ที่จะมาใช้ทดแทนพาราควอต คือกลูโฟซิเนต ยังไม่มีการกักตุน ส่วนสารเคมีกำจัดแมลงมีเป็นร้อยชนิดนอกจากคลอไพลิฟอส เขามองว่าการแบนสารเคมี 3 ชนิด ก็ทำให้สารเคมีอีกหลายชนิดถูกนำมาใช้ ไม่ต่างกันทั้งยังมีราคาสูงกว่าไม่ไกลจาก ร้านขายสารเคมีเกษตร ในอำเภอหนองเสือ เป็นไร่สวนของ นายสมเกียรติ ศรีสังข์สุข พื้นที่ทำการเกษตร 65 ไร่ มีทั้งสวนกล้วย ปาล์ม และอ้อย ซึ่งจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าหญ้าพาราควอต หากมีการแบน ก็จำเป็นจะต้องใช้สารทดแทนที่มีราคาแพงกว่า ท่ามกลางราคาผลผลิตทางการเกษตรที่ตกต่ำ เขาบอกว่ารัฐบาลควรจะไปแก้ปัญหาเรื่องราคาพืชผลการเกษตรมากกว่า จะมาแบนสารเคมีซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิต ซ้ำเติมเกษตรกรดูเหมือนว่าวันที่ 22 ตุลาคมนี้จะเป็นวันชี้ชะตาของสารเคมีเกษตร 3 ชนิด ว่าจะไปต่อหรือไม่ ซึ่งหากผลออกมาเช่นไรก็จะเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน หากแบนสารเคมีกลุ่มเกษตรกรก็จะฟ้องศาลปกครอง และหากไม่แบนสารเคมี ข้าราชการที่มานั่งเป็นกรรมการวัตถุอันตรายก็จะถูกหมายหัวจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงที่ตอนนี้มีท่าทีตรงกัน ในการแบนสารเคมี