ลิ้มลองรสชาติ อาหารไทยโบราณ ตามยุคสมัยต่างๆ ในบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยา

พาคุณผู้อ่าน ไปลิ้มชิ้มรส อร่อยกับมื้อกลางวันในบรรยากาศริมน้ำเจ้าพระยา ที่พระยาไดนิ่งร้านอาหารไทยโบราณต้นสำรับชาววังของโรงแรมพระยา พาลาซโซ ในเครือมนทาระฮอสพิทาลิตี้ กับเปิดประสบการณ์ลิ้มลองรสชาติอาหารไทยโบราณคาว-หวาน รสชาติดั้งเดิม

โดยเซ็ทเมนูมื้อกลางวันนี้ได้รังสรรค์ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ทุกท่านได้ลิ้มลองรสชาติตามยุคสมัยต่างๆ ตั้งแต่ยุคสุโขทัย ยุคอยุธยา ยุครัตนโกสินทร์ รัชกาลที่2,รัชกาลที่4และรัชกาลที่5

ซึ่งในแต่ละยุคมีความรุ่งเรืองด้านอาหารที่แตกต่างกัน ทั้งในด้านเครื่องปรุง วัตถุดิบ และเทคนิคการประกอบอาหาร ซึ่งทำให้อาหารในแต่ละยุคสมัยมีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ที่เริ่มเสิร์ฟด้วยอาหารเรียกน้ำย่อยคือ "กุ้งโสร่ง" "ล่าเตียง" และ "หมี่กรอบกระทงทอง" ตามด้วยสลัด "ยำทวาย" ซุปกับเมนู "แกงรัญจวน" ต่อด้วยอาหารจานหลัก "พล่าเนื้อ" "ฉู่ฉี่กุ้งแม่น้ำ" "หมูผัดส้มเสี้ยว" และ "ผัดผักนพเก้า" ตบท้ายด้วยของหวาน "บัวลอยลูกตาล" ในราคาท่านละ 1,200++ บาท (ราคารวมเครื่องดื่มเย็นและร้อน) และพิเศษสุดทางโรงแรมได้เตรียมบริการอาหารเช้าให้สำหรับลูกค้าที่เดินทางมาถึงโรงแรมก่อนเวลาฟรี

กุ้งโสร่ง

จากการศึกษาจากจดหมายความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวีทำให้ทราบว่าเมนูหมูโสร่ง เข้ามาในไทยจากเรือการค้าของโปรตุเกสและจีนต่อมามีการดัดแปลงวัตถุดิบให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนไทยในสมัยนั้นเช่น ปรับเป็น ไก่โสร่ง ปลาโสร่ง หรือจะปรับเปลี่ยนเป็น กุ้งโสร่ง อย่างที่ พระยาพาลาซโซ เสริ์ฟ ก็ได้เช่นกัน

ล่าเตียง

ล่าเตียงเป็นหนึ่งในอาหารว่างของไทยสมัยโบราณและหาทานยากในสมัยปัจจุบันนี้ถูกกล่าวถึงใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ว่า

"ล่าเตียงคิดเตียงน้อง นอนเตียงทองทำเมืองบน ลดหลั่นชั้นชอบกล ยลอยากนิทรคิดแนบนอน"

ยำทวาย

หนึ่งในผู้สร้างฐานรากอันสำคัญให้กับประวัติศาตร์อาหารไทยหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์ ผู้ที่อุทิศตนในการตระเตรียม สั่งสอนและเขียนตำรับตำราอาหารชาววัง ไว้ให้กับชนรุ่นหลัง ได้กล่าวถึง"ยำทวาย" เอาไว้ว่า เป็นเมนูขึ้นชื่อของวังสวนสุนันทา เมนูยำที่อุทิศแด่ "ห้องเครื่อง" ของวังซึ่งได้ใช้เวลาสรรสร้างค์แต่ละสำรับอย่างบรรจงประณีตโดยยำทวายนี้มีวิธีการทำยากมาก การปรุงต้องละเอียดและบรรจงทั้งยังเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีรสชาติอร่อย เผ็ดน้อยๆและอมเปรี้ยวอมหวาน

แกงรัญจวน

"แกงรัญจวน" ถูกคิดค้นโดยหม่อมเจ้าหญิง สะบาย นิลรัตน์ (เสด็จย่าของหม่อมหลวงเนื่อง นิลรัตน์) ผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าห้องเครื่องในรัชสมัยรัชกาลที่5 โดยนำเอาเนื้อวัวผัดพริกอ่อนโหระพา ซึ่งเหลือเป็นจำนวนมากจากการทำมาเลี้ยงข้าหลวงเรือนนอกที่มาช่วยงานทำดอกไม้เมื่อท่านเห็นขึงเกิดความเสียดาย จึงให้คนมานำพริกอ่อนและโหระพาออกทั้งหมดรวมถึงเสียดายน้ำพริกกะปิที่เหลืออีกมากเช่นกันนำเอาเนื้อมาผัดใส่น้ำซุปและเติมน้ำพริกกะปิลงไป และปรุงรส ยามร้อนมีกลิ่นหอมไปไกลชวนเรียกน้ำย่อยอันเป็นผลให้มื้อต่อมาอาหารหมดเรียบ ทุกคนกินติดใจ กลายเป็นเมนูในดวงใจอันเป็นที่มาของความ "รัญจวน" ของเมนูชาววังนี้

"หมูผัดส้มเสี้ยว"

หมูผัดส้มเสี้ยวเป็นเมนูชาววังที่หารับประทานยากในปัจจุบันนี้ทางพระยาไดนิ่ง บดใบส้มเสี้ยวลงไปในเครื่องแกงเพื่อรสเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์และเป็นหนึ่งในสูตรลับของเรา ใบส้มเสี้ยวนอกจากรสชาติเปรี้ยวแล้วยังมีสรรพคุณทางยา สำหรับบำรุงเลือดประวัติของใบเสี้ยวหรือส้มเสี้ยวเท่าที่สามารถหาได้ คือ เมื่อครั้งสมเด็จพระปิตุฉาเจ้าสุขุมาลมารศรีพระอัครราชเทวีในรัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จทางชลมารคและเรือพระที่นั่งเทียบที่หน้าวัดส้มเสี้ยวจังหวัดนครสวรรค์ ทรงได้กลิ่นหอมแบบเป็นเอกลักษณ์ของอาหารซึ่งกำลังมีคนปรุงอยู่ จึงได้รับสั่งถามถึงเครื่องปรุงและทรงนำกลับมาปรุงเป็น"ผัดส้มเสี้ยว" และยังคงเป็นตำรับตำราที่สืบทอดกันภายในวังบางขุนพรหมอีกด้วย

อินทนิล

ขนมอินทนิลเป็นขนมไทยที่ใช้แป้งมันสำปะหลังกวนกับน้ำใบเตยจนเหนียว รสสัมผัสหนึบหนับกรุบกรอบทานคู่กับน้ำกะทิขนมอินทนิลหาทานยากเนื่องจากกระบวนการำที่ต้องเคี่ยวและกวนแป้งเป็นเวลานานแต่เดินเชื่อว่ามีทานกันในรั้ววังเท่านั้นเพราะแป้งมันสำปะหลังต้องนำเข้ามาจากสิงคโปร์ หรือที่เรียกว่า แป้งสิงคโปร์โดยคนทั่วๆไปไม่สามารถเสาะหามาปรุงได้ ทั้งยังต้องใช้เวลาทำนานมากขนมอินทนิลจึงเป็นขนมที่หาทานยาก จวบจนปัจจุบัน

สำหรับเซ็ทมื้อกลางวันพิเศษ ณ ห้องอาหารพระยาไดนิ่งนี้ จะเริ่มให้บริการในวันที่3, 10, 17, 23, 27 กันยายน วันที่ 3, 7, 10 , 17, 21 ตุลาคม โดยสามารถสำรองที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02 883 2998 หรือ 081 402 8118 หรือทางอีเมล [email protected] สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/prayapalazzo/