หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงสาระสำคัญและรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร นานกว่า 2 ชั่วโมง เป็นลำดับของฝ่ายค้าน
โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายให้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2563 ที่เสนอต่อสภาฯ นำกลับไปยกร่างใหม่ เพราะการจัดสรรงบประมาณตามร่างพ.ร.บ.นั้น ไม่ถูกจัดให้กับส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ถือว่ามีความบกพร่องต่อการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ต้องอาศัยการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสม ร่วมกับการลงทุนภาคเอกชน
ซึ่งรวมถึงการจ้างงานภาคแรงงาน , การบริโภคภายใน รวมถึงการค้าขายภายในประเทศ เกษตรกร และ การส่งออกรวมถึงการท่องเที่ยว ทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่น
โดยสิ่งที่ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 ที่พบความบกพร่อง คือ การจัดสรรงบกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดซื้ออาวุธ, การจัดสรรงบกลาง 5.1 แสนล้านบาท ซึ่งพบว่าจะใช้เพื่อกรณีฉุกเฉิน 9.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งตนหวังว่างบส่วนดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อการจัดซื้ออาวุธ นอกจากนั้นยังพบการใช้งบประมาณเกินตัว สวนทางกับการจัดเก็บภาษีที่ได้น้อย
"ตัวเลขการขาดดุลมีความน่าเป็นห่วง เพราะหากจัดงบประมาณไว้ลักษณะดังกล่าวประเทศอาจเจอภาวะล้มละลาย ผมมองว่าการจัดสรรงบประมาณเป็นการแจกเงินแบบสิ้นคิด โดยไม่คำนึงถึงการพัฒนาผลิตภาพ และแผนการทำธุรกิจ แต่เป็นเพียงการยืดปัญหาออกไปวันๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, แจกเงินท่องเที่ยว , ชิม ช้อป ใช้ รวมถึงแจกเงินปลายปีเพื่อให้ประชาชนซื้อของ
ซึ่งผมมองว่าเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ทำให้ประเทศพัฒนาด้านการผลิต ทั้งนี้แนวทางที่ถูกต้อง ควรใช้งบประมาณเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้เกิดการผลิตนวัตกรรมใหม่ และสร้างผลผลิตให้ได้โดยเร็ว อย่างไรก็ดีมีคำกล่าวในสังคมว่างบประมาณถูกใช้จนกระจุก มุ่งสนับสนุนการเติบโตผู้ใกล้ชิดรัฐบาล และนายทุน พวกพ้อง เช่น โครงการอีอีซี, โครงการรถไฟเชื่อม3 สนามบิน" นายสมพงษ์ กล่าว
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวด้วยว่าตนหมดหวังกับการขับเคลื่อนและฟื้นฟูประเทศ และทำให้ประเทศตกอยู่ในวิบากกรรม ดังนั้นตนขอให้นำ ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 กลับไปแก้ไข ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถให้ความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ พ.ศ.2563 ได้